จาก.. เอกสารสรุปและบรรยายโดย ชัยวัฒน์ ถิระพันธ์
ในการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การคิดกระบวนระบบ-เวทีแกนนำ ..วันที่ ๒๘ ถุมภาพันธ์-๓ มีน่คม ๒๕๔๕
ณ. โรงแรมรอยัล เจมส์ ลอดจ์ จ. นครปฐม
ด้วยความร่วมมือระหว่าง.. มูลนิธิการเรียนรู้และพัฒนาประชาคม มูลนิธิพัฒนาไท และ ส.น.ง.คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
การคิดกระบวนระบบ
(System Thinking)
-ตัวเราคือปัญหา จะแก้สังคมให้สำเร็จ ต้องแก้ที่ตัวเราเอง ..(from The Fifth Discipline)
-วิกฤตต่างๆในโลกล้วนมีสาเหตุมาจากรากเหง้าเดียวกัน ..คือ วิกฤตของการรับรู้และการคิดเกี่ยวกับตัวเรา
-ส่วนหนึ่งที่ต้องแก้ไขตัวเอง คือ.. แก้ไขวิกฤตการคิด แก้ไขอารมณ์ และแก้ไขความรู้สึกของตัวเราเองด้วย เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา
The Fifth Discipline
ประกอบด้วย
- Personal Mastery ..เป็นวิชาที่ว่าด้วยการเอาชนะตนเอง การฝึกฝนพัฒนาศักยภาพของตนเอง เพื่อสร้างผลงานที่พึงปรารถนา
- Mental Model ..เป็นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาพภายในสมองของเราเองที่คิดเกี่ยวกับโลก
- Share Vision ..เป็นการสร้างวิสัยทัศน์ร่วม วิสัยทัศน์ไม่ใช่เรื่องใหญ่ สำคัญที่ว่าวิสัยทัศน์ส่งผลอะไรกับตัวเราหรือไม่? วิสัยทัศน์มีสองแบบ ..มีผล และ ไม่มีผล แต่วิสัยทัศน์ที่จิตมนุษย์รู้สึกกระทบ แม้ไม่สมบูรณ์ ไม่ไพเราะด้วยภาษา แต่อาจกระทบจิตและความรู้สึกคนได้
- Team Learning คือ พลังกลุ่ม ที่จะสร้างพลังความสุข ..การเรียนรู้เป็นความสุข เป็นหัวใจของการเกิดพลังแห่งความสุข
- System Thinking เป็นวิธีคิดใหม่และภาษาใหม่ที่อธิบายโลก อธิบายกำลัง และการปฏิสัมพันธ์ต่อกันและกัน ในการสร้างพฤติกรรมแห่งระบบขึ้นมา
-ระบบ คือ การรับรู้ทั้งหมด ซึ่งส่วนย่อย (elements) ของมันขึ้นต่อกันและกันเพราะมีปฏิสัมพันธ์กันตลอดเวลา ..รวมหมายถึงตัวเรา ซึ่งเป็นผู้สังเกตุก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบด้วยซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย (common purpose) เดียวกัน
ลักษณะของการคิดกระบวนระบบ
- ..แบบองค์รวม ..System Thinking as Holistic Thinking การเล่าเรื่องตัวฉัน เป็นแบบฝึกหัดหนึ่งที่ช่วยอธิบายการคิดกระบวนระบบได้ เพราะผลงานเรื่องความคิดของฉันทั้งหมด ล้วนเชื่อมโยงไปสู่การบอกเรื่องของคนอื่นทั้งสิ้น ..เพราะโดยนัยปรัชญา ตัวฉัน ไม่มี
- ..ต้องมองระบบมีการซ้อนทับเป็นชั้นๆ และจะเชื่อมโยงต่อถึงกันทั้งหมด
- ..แบบเชิงเครือข่าย ..System Thinking as Networking การคิดร่วมกันเป็นเครือข่าย เพราะมีความปรารถนาและมีจุดมุ่งหมายเหมือนกัน แต่การสร้างเครือข่าย ต้องเป็นไปโดยธรรมชาติ ไม่ใช่เครือข่ายกลไกซึ่งขาดจิตวิญญาณ (Mental Model)
-
แบบเป็นขบวนการ ..System Thinking as Process Thinking สิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนเป็นขบวนการทั้งสิ้น การคิดกระบวนระบบไม่ต้องห่วงเรื่องเนื้อหา จับขบวนการให้ดี เนื้อหาก็จะเกิดตามขึ้นมาเอง เพราะกระบวนการธรรมชาติจะสร้างสิ่งใหม่ๆขึ้นมาด้วยตนเอง (Self-Organizing System) ให้เป็นไปตามกฏแห่งธรรมชาติทั้งมวล
-
แบบที่สัมพันธ์กับบริบท ..System Thinking as Context Thinking เมื่อพูดถึงฉัน ก็ต้องพูดถึงบริบททั้งสิ้น เราจะไม่เข้าใจใครถ้าไม่เข้าใจบริบทของเขา ทุกสิ่งที่เราเข้าใจ ต้องเชื่อมโยงกับบริบททั้งสิ้น การแยกส่วนออกมาคิดวิเคราะห์โดยไม่คำนึงถึงบริบทของมัน จะไม่เห็นปัญหาที่แท้จริงของมันเลย เพราะนั่นเป็นการแยกคิดออกจากองค์รวมของปัญหานั้น
-วิธีคิดกระบวนระบบ หรือวิธีคิดแบบองค์รวม มี ๔ ระดับ ..มองระบบเหมือนภูเขาน้ำแข็ง คือ
- เหตุการณ์ คือ Event ..สิ่งที่เราเห็นอยู่ตลอดเวลา คือยอดภูเขาน้ำแข็ง
- ใต้เหตุการณ์ คือ Pattern (ฐานใต้ภูเขาน้ำแข็ง)
- ใต้ Pattern คือ โครงสร้าง (System Structure)
- Mental Model ..จินตภาพจำลองของคนในโครงสร้าง (Structure) นั้น
ตัวอย่างการมอง ไฟไหม้ ด้วยการคิด ๔ ระดับ
- ไฟไหม้เป็นเหตุการณ์ที่เห็นอยู่ตลอดเวลา แล้วมีปฏิกริยาต่อเหตุการณ์ คือ หนีไฟหรือหาทางดับไฟ เพื่อคลี่คลายเหตุการณ์นั้น
- จะจัดการกับไฟไหม้ให้ดีขึ้น ต้องจับ Pattern ของไฟไหม้ ว่าเกิดขึ้นที่ไหน เวลาใด แล้วจึงมีการเตือน มีสิ่งช่วยดับเพลิง หรือสร้างสถานีดับเพลิงในชุมชนนั้น
- ในแง่โครงสร้างของไฟไหม้ จะทำอย่างไรไม่ให้เกิดเพลิงไหม้ จัดการระบบป้องกันให้ดีขึ้น พร้อมใช้ดับไฟได้ทันท่วงที ณ สถานที่นั้นมีทางหนีไฟ ระบบการออกแบบไฟฟ้าหรืออาคารมีคุณภาพพอเพียงหรือไม่? เป็นต้น
- Mental Model ของคนที่เกี่ยวข้อง นอกเหนือรูปแบบที่กล่าวถึงแล้ว ซึ่งอาจเป็นบวกหรือลบได้ ในทางลบ เช่นความประมาทเลินเล่อ เช่น ไม่เปิดทางหนีไฟ ไม่เปิดระบบน้ำ ในทางบวก เช่นคนเป็นผู้สร้างวัสดุและอุปกรณ์ที่ทันสมัยในการป้องกันและแก้ปัญหาไฟไหม้ คนมีความสามารถมองลึกลงไปถึง พลังที่สร้างสรรค์ สร้างโครงสร้าง รักษาโครงสร้าง และเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง แต่บางครั้งระบบก็อาจทำลายศักยภาพของบุคคลได้เช่นกัน
วิธีการที่จะเข้าใจระบบให้ดีขึ้น
- ต้องเข้าใจการคิดแบบน้ำลดตอผุด (ลดระดับของเรื่องลงมา) เพราะบางสิ่งบางอย่างไม่เกิดขึ้นทันทีทันใด โดยเฉพาะระบบชีวิต มักมีความหน่วง ..Delay ผลบางอย่างต้องใช้เวลา บางคนสามารถมองเห็น และบางคนมองไม่เห็น สาเหตุอยู่ที่พลังจินตนาการ ซึ่งการคิดกระบวนระบบ จะช่วยเสริมจินตนาการได้
- ตั้งคำถามที่จำนวนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกิดจากอะไร ที่ไหน เวลาใด ก็อาจมองเห็นแนวทางแก้ปัญหาได้ทั้งหมดหรือบางส่วนได้
- วิเคราะห์ถึง Mental Model ของคนที่ก่อให้เกิดปัญหานั้นๆ การมองแค่เหตุการณ์ มองไม่เป็นระบบ หรือไม่มีความเป็นองค์รวม ก็จะแก้ปัญหานั้นไม่ได้หรือผิดพลาดซ้ำๆซากๆ