|
||
เฮนรี่ เดวิด ธอโร
เฮนรี่ เดวิด ธอโร เป็นทายาทคนสุดท้ายผู้สืบเชื้อสายจากบรรพชนชาวฝรั่งเศส ซึ่งอพยพมาจากเกาะเกอร์นซีมาสู่แผ่นดินอเมริกา ซึ่งในบุคลิกภาพของเขายังเผยให้เห็นถึงร่องรอยของเชื้อสายดังกล่าว ผสานอยู่กับอัจฉริยภาพอันแรงกล้าของเผ่าพันธุ์แซกซอน ธอโร ถือกำเนิดในเมืองคองคอร์ด มลรัฐแมสซาจูเซ็ทส์ เมื่อวันที่ 12 กรกฏาคม 1817 สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เมื่อปี 1837 ทว่าไม่ได้มีความเด่นล้ำทางด้านวิชาการแต่อย่างใด ด้วยเหตุที่ธอโรปฏิเสธวรรณคดีตามแบบแผน เขาจึงไม่สู้เห็นคุณค่าของการศึกษาในมหาวิทยาลัย แต่กระนั้นก็ดี ก็นับว่าธอโรได้เป็นหนี้บุญคุณของสถานศึกษาแห่งนี้อย่างใหญ่หลวง หลังจากสำเร็จการศึกษา ธอโรไปช่วยพี่ชายสอนอยู่ในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งก็ลาออกไปในเวลาไม่นาน พ่อของธอโรเป็นเจ้าของโรงงานผลิตดินสอดำ ซึ่งเฮนรี่ก็ได้ไปช่วยงานอยู่พักหนึ่ง โดยเชื่อว่าตนสามารถทำดินสอที่มีคุณภาพดีกว่าที่ใช้กันอยู่ หลังจากได้ทำการค้นคว้าทดลองเป็นผลสำเร็จ ก็ได้นำผลงานของตนไปแสดงให้พวกนักเคมีและศิลปินในบอสตันชม และได้รับประกาศนียบัตรรับรองว่าเป็นดินสอที่มีคุณภาพดีเยี่ยมเท่าเทียมกับดินสอที่ดีที่สุดจากลอนดอน เขากลับมาบ้านด้วยความภูมิใจ มีเพื่อนพากันมาแสดงความยินดีและบอกว่าบัดนี้เขาได้กรุยทางไปสู่อนาคตแล้ว แต่ธอโรกลับตอบว่าตนจะไม่ทำดินสออีกต่อไป "ทำไมจะต้องทำด้วย ฉันจะไม่ทำในสิ่งซึ่งได้ทำมาแล้วครั้งหนึ่ง" เขากลับไปถือเอาการเดินเป็นกิจกรรมหลักของชีวิต พร้อมๆกับทำการสังเกตศึกษารายละเอียดต่างๆในธรรมชาติไปด้วย ทำความรู้จักคุ้นเคยกับสิ่งใหม่ๆ ในธรรมชาติยิ่งขึ้นทุกวัน โดยไม่เคยอ้างตนว่าเป็นนักพฤกษศาสตร์หรือนักสัตวศาสตร์ และด้วยเหตุที่ธอโรสนใจศึกษาปรากฏการณ์ธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงไม่สู้สนใจในศาสตร์ที่เป็นวิชาการเท่าใดนัก ในช่วงเวลานี้เองที่บัณฑิตหนุ่มกระชุ่มกระชวย ซึ่งเพิ่งจะจบมาสดๆร้อนๆ จากมหาวิทยาลัย ในขณะที่เพื่อนๆพากันเลือกอาชีพ กระตือรือร้นที่จะเลือกอาชีพการงานที่ตนจะมีโอกาสรุ่งโรจน์ที่สุด ตัวธอโรเองก็คงจะครุ่นคิดอย่างหนักหน่วงเช่นกัน และก็คงต้องอาศัยความเด็ดเดี่ยวไม่น้อยที่จะปฏิเสธวิถีชีวิตตามแบบแผนทั้งมวลที่ผู้คนเคยชิน เพื่อรักษาเสรีภาพอันโดดเดี่ยวของตนไว้จนถึงขั้นที่ทำให้ครอบครัวและมิตรสหายพากันผิดหวัง และที่ยากยิ่งไปกว่านั้นก็คือการที่ธอโรมีความั่นคงต่อความเชื่อของตนเอง มั่นคงในการดำรงรักษาอิสรภาพของตนไว้ และถือเอาสิ่งนี้เป็นหลักการที่สำคัญยิ่งสำหรับมนุษย์คนอื่นๆด้วย ทว่าธอโรก็ไม่เคยย่นระย่อเลย เขาเป็นกบฎมาโดยกำเนิด เขาไม่ยอมสละละความกระหายใคร่รู้ในปรีชาญาณและการงานของตน เพื่อแลกกับวิชาชีพหรือการงานอันคับแคบใดๆด้วยว่า ธอโรมุ่งใฝ่หาในสิ่งซึ่งลึกซึ้งกว้างไกลกว่านั้น ซึ่งก็คือศิลปะแห่งการมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข และถ้าหากว่าเขาเหยียดหยามประณามความคิดเห็นของคนอื่นบ้าง ก็เพียงเพราะว่าต้องการจะยืนยันถึงความเชื่อและการกระทำของตนเท่านั้น ธอโรกระตือรือร้นขยันขันแข็งขึ้นมาเมื่อต้องการจะหาเงิน ซึ่งได้มาโดยการไปรับจ้างใช้แรงงานอย่างที่เขาคิดว่าเหมาะสม เช่นการต่อเรือหรือทำรั้ว เพาะปลูก ต่อตาทาบกิ่งไม้ และงานสำรวจ เขาชอบงานรับจ้างชั่วคราวต่างๆยิ่งกว่างานประจำ อาศัยความทรหดอดทนและความสมถะมักน้อยผนวกกับความสามารถในเชิงช่างไม้และการคำนวณ เชื่อแน่ว่าธอโรมีศักยภาพที่จะสามารถไปอยู่ได้ทุกหนทุกแห่งในโลก ธแโรคงจะใช้เวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในการให้ได้มาซึ่งปัจจัยสี่เมื่อเทียบกับคนอื่น ดังนั้นเองเขาจึงมีเวลาเหลืออยู่เพื่อเป็นตัวของตัวเอง ความสามารถตามธรรมชาติในการรังวัดและการคำนวณของเขาได้มาจากความรอบรู้ในวิชาคณิตศาสตร์ และจากนิสัยในการคำนวณหาขนาดและระยะทางที่แน่นอนของสิ่งต่างๆที่เขารู้สึกสนใจ ดังเช่นความสูงของต้นไม้ ความลึกความกว้างของบึงและแม่น้ำ ความสูงและระยะของเส้นทแยงมุมจากพื้นถึงยอดเขา เหล่านี้รวมเข้ากับความรอบรู้เกี่ยวกับภูมิภาพของดินแดนคองคอร์ด ทำให้เขากลายเป็นช่างรังวัดที่ดินและนักสำรวจตัวยง ซึ่งงานนี้ก็ส่งผลตอบสนองตรงที่มันนำเขาเข้าใกล้ดินแดนใหม่ซึ่งรกร้างห่างไกลยิ่งขึ้นทุกที ทำให้ธอโรมีโอกาสได้ศึกษาธรรมชาติอย่างใกล้ชิด ความสามารถและความเที่ยงตรงแม่นยำในงานแนวนี้ เป็นที่ยอมรับนับถือทั่วไป จึงทำให้เขาได้งานทำอยู่เสมอ เขาสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการรังวัดที่ดินได้อย่างสบาย ทว่าเขากลับต้องหมกมุ่นครุ่นคิดถึงปัญหาที่สำคัญกว่าทางนามธรรม ธอโรตั้งคำถามกับแบบแผนการปฏิบัติและประเพณีทุกชิ้น และปรารถนาที่จะกระทำการบนพื้นฐานที่เป็นอุดมคติ เขาเป็นคนกบฏอย่างสุดขั้ว และน้อยคนนักที่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างสมถะเยี่ยงเขา เขามิได้เกิดมาเพื่ออาชีพใดๆ ไม่ได้แต่งงาน เขาอยู่เพียงลำพัง ไม่เคยไปโบสถ์ ไม่ยอมไปเลือกตั้ง ไม่ยอมจ่ายภาษีให้กับรัฐ ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบยา และถึงแม้ว่าจะเป็นนักนิยมไพร แต่ก็ไม่ยอมใช้กับดักหรือปืน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าธอโรได้เลือกธอโรได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง นั่นก็คืออยู่เพื่อเป็นคนรักของความคิดและธรรมชาติ จิตใจของเขาไม่ฝักใฝ่ในความมั่งคั่งและเขาก็สามารถมีอยู่อย่างยากจนได้โดยไม่จำเป็นต้องสกปรกมอมแมมหรือขาดความสง่างาม เป็นไปได้ว่าธอโรได้ใช้ชีวิตเยี่ยงนี้โดยมิได้ครุ่นคิดถึงมันมากนัก หากแต่ได้ยืนยันด้วยภูมิปัญญาซึ่งก่อเกิดขึ้นในกาลภายหลัง "ฉันตระหนักอยู่เสมอ" ธอโรเขียนไว้ในบันทึก "ว่าถ้าหากฉันเกิดมั่งคั่งขึ้นมาเยี่ยงราชันโครซัส (Croesus) จุดมุ่งหมายและวิถีทางที่ฉันเดินก็จะยังคงเป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง" เขาไม่มีความอยากที่จะต้องเอาชนะ ไม่มีความพึงใจ ไม่มีความต้องการ ไม่มีรสนิยมในทางหรูหราฟุ่มเฟือย ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน หรือเครื่องแต่งกายที่งดงาม ไม่ว่าจะเป็นมารยาททางสังคม หรือการพูดจาแบบผู้ดีชั้นสูงล้วนถูกถอดคราบออกไปจากตัวเขาสิ้น แต่เขากลับชอบชนเผ่าอินเดียน และถือว่ามารยาทสังคมเหล่านั้นเป็นอุปสรรคต่อการสื่อสารสนทนาที่แท้ตฃจริงและอยากจะพูดคุยกับมิตรสหายของตนอย่างเรียบง่ายที่สุด ธอโรปฏิเสธคำเชิญให้ไปรับประทานอาหารเย็น เพราะในงานเลี้ยงดังกล่าวเต็มไปด้วยคนชอบซุบซิบนินทา เขาจึงไม่ทราบว่าจะไปพบกับคนที่นั่นด้วยจุดประสงค์ใด "คนเหล่านั้นมีความภาคภูมิใจ" ธอโรกล่าว "ในการที่จะต้องทำให้อาหารเย็นมื้อนั้นมีราคาถูก" และเมื่อมีคนถามเขาที่โต๊ะอาหารว่าเขาชอบอาหารจานไหน ธอโรก็จะตอบว่า "จานที่ใกล้ที่สุด" เขาไม่ชอบรสเหล้าขององุ่น และไม่เคยใช้สิ่งเสพย์ติดใดๆเลยในชีวิต เขากล่าวว่า "ฉันจำได้รางๆ ถึงความสุขจากการสูบก้านบัวแห้งสมัยตอนเป็นเด็ก ฉันมักจะมีสิ่งของสิ่งนี้ตุนเก็บไว้เสมอ แต่ฉันไม่เคยสูบสิ่งใดที่มีพิษไปมากกว่านี้" ธอโรเลือกที่จะร่ำรวยโดยการลดทอนความต้องการของตนเองให้เหลือน้อยและพยายามหาจุนเจือด้วยลำแข้งของตน เขาใช้ทางรถไฟเพื่อเดินไปยังสถานที่ที่ตนต้องการ ดุจดังว่ายานพาหนะชนิดนี้ไม่ได้มีความหมายใดๆเลยสำหรับเขา เขาเดินเท้าไปเป็นระยะทางนับร้อยๆไมล์ หลีกเลี่ยงการพักในโรงเตี๊ยม แต่หาเช่าห้องค้างคืนตามบ้านชาวนาและชาวประมง เพราะว่าราคาถูกกว่าและถูกอัธยาศัยกว่า และเพราะว่าที่นั่นเขาจะได้พบคนรชนิดที่ตนอยากจะพบและได้ข้องมูลตามที่ต้องการจะรู้ มีบางสิ่งบางอย่างอันเป็นลักษณะวินัยเหล็กของนักรบอยู่ในตัวของธอโรด้วย เข้มแข็ง ยืนหยัดและทรงพลัง ว่ายากนักจะอ่อนโยน แม่แต่กับตัวเอง เขาปรารถนาที่จะกระชากหน้ากากความหลอกลวง และลงทัณฑ์ในสิ่งที่ผิด จนอาจกล่าวได้ว่า เขาคงจะรู้สึกมีชัยอยู่ลึกๆถ้าหากว่าได้มีกลองมารัวตี ปลุกพลังอำนาจของเขาขึ้นมาจนเต็มขีดขั้น เขาไม่สู้ลำบากใจเลยที่จะกล่าวคำปฏิเสธ ทั้งรู้สึกง่ายกว่าการที่จะกล่าวคำตอบรับเสียอีก ดูเหมือนว่าสัญชาตญาณวูบแรกของเขาเมื่อได้รับฟังเหตุผลอย่างหนึ่ง เป็นต้องจับมันมาพลิกผกผันเสียจนได้ เขาเป็นคนที่อดทนต่อขอบเขตอันจำกัดคับแคบของความคิดประจำวันของผู้คนได้น้อยมาก ลักษณะนิสัยนี้ทำให้ดูคล้ายกับเป็นคนเย็นชาต่อการคบหาสมาคมและถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้ว เพื่อนๆจะยอมละอคติและความเข้าใจผิดที่มีต่อตัวเขา แต่นี่ก็เป็นอุปสรรคต่อการสื่อสารพูดคุยด้วย คงจะไม่มีมิตรสหายผู้ใดอาจคบหาสมาคมกับคนที่บริสุทธิ์ปราศจากข้อด่างพร้อยเช่นนี้ได้อย่างใกล้ชิดสนิทสนม เพื่อนผู้หนึ่งของเขาได้กล่าวว่า "ฉันรักเฮนรี่ แต่ไม่อาจชอบเขาได้ เพราะแม้แต่ในยามจับมือกัน ฉันก็มักรู้สึกเหมือนดังประหนึ่งกำลังเกาะกุมอยู่กับกิ่งก้านของต้นเอลม์" และแม้ว่าเขาจะมีลักษณะดังนักพรตหรือฤาษีอยู่ก็ดี ทว่าเขาก็ยังชมชอบที่จะมีมิตรสหายรู้ใจ และมักจะเข้าไปร่วมสมาคมด้วยอย่างเบิกบานเหมือนเด็กๆกับพวกคนหนุ่มคนสาวซึ่งเขาชื่นชอบ และอยากทำให้พวกเขามีความสุขโดยอาศัยความรอบรู้และประสบการณ์จากทุ่งนาป่าเขาของตน ธอโรมักพร้อมเสมอที่จะเป็นผู้นำขบวนไปเก็บผลฮัคเกิ้ลเบอรี่หรือผลเชสนัมหรือองุ่น ในการแสดงปาฐกถาของข้าพเจ้าครั้งหนึ่งเรื่องการพูดต่อที่สาธารณชน เฮนรี่ได้แย้งขึ้นมาว่า สิ่งใดก็ตามซึ่งผู้ฟังรู้สึกชื่นชอบมักจะเป็นสิ่งที่เลว เพราะข้าพเจ้าได้กล่าวปาฐกถาว่า "ผู้ใดเลยที่ไม่อยากจะเขียนงานซึ่งผู้คนทั้งมวลย่อมสามารถอ่าน ดังเช่นงานเยี่ยงโรบินสัน ครูโซ และผู้ใดเลยจะไม่รู้สึกเสียใจที่งานของตนไม่ได้มีรูปธรรมอันหนักแน่นพอที่จะสามารถทำให้ทุกผู้คนรู้สึกเพลิดเพลิร" เฮนรี่ได้กล่าวคัดค้านไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ และคุยว่าตนสามารถแสดงปาฐกถาที่ดีกว่านี้ ซึ่งจะมีคนเพียงบางคนเท่านั้นที่สามารถรับฟังเข้าใจ แต่ขณะที่รับประทานอาหารเย็นอยู่นั้น มีหญิงสาวผู้หนึ่ง ซึ่งเข้าใจว่าเขาจะเป็นผู้พุดคนต่อไป ณ คองคอร์ด ลีซีอุม เธอได้ถามขึ้นอย่างคมคายว่า "คำบรรยายของธอโรจะเป็นเรื่องราวอันน่าสนใจดังที่เธอหวังจะได้สดับฟัง หรือว่าจะเป็นเพียงข้อปรัชญาเก่าๆซึ่งเธอรู้สึกเบื่อหน่าย" เฮนรี่หันไปมองทางเธอ และหยุดครุ่นคิดลังเลอยู่ ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่า เขากำลังจะพยายามบอกกับตนเองว่า เขามีเรื่องพูดที่น่าสนใจสำหรับเธอและพี่ชายซึ่งกำลังลุกขึ้นเพื่อไปฟังคำบรรยายอันดับต่อไป ธอโรเกิดมาเพื่อเป็นนักพูดและนักปฏิบัติแห่งสัจจะ และได้ตกเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ซึ่งจะต้องใช้เชาว์ปัญญาดังกล่าวอยู่หลายครั้ง ซึ่งผู้ที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์มักจะสนใจใคร่รู้ว่าเฮนรี่จะทำอย่างไร จะพูดอย่างไร ซึ่งเขาก็ไม่เคยทำให้ผู้ใดผิดหวัง ทว่าได้แก้ไขพลิกแพลงสถานการณ์เฉพาะหน้าได้อย่างคมคายลึกซึ้งยิ่ง ในปี 1845 ธอโรได้สร้างกระท่อมขึ้นหลังหนึ่งริมบึงวอลเดน และพำนักอยู่ที่นั่นเพียงลำพังเป็นเวลาสองปี ใช้แรงงานและอ่านหนังสือเท่านั้น พฤติกรรมดังว่าเป็นสิ่งเรียบง่ายและเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับเขา ไม่มีคนรู้จักคนใดที่จะสามารถทำให้เขาหวั่นไหวคล้อยตามได้ เขาดูคล้ายกับเพื่อนบ้านในแง่การงาน แต่แตกต่างกันอย่างยิ่งในเชิงความคิด และเมื่อเขาได้ใช้ชีวิตสันโดษเช่นนั้นจนหนำใจ เขาก็ได้จากบึงแห่งนั้นมาในปี 1847 ธอโรได้ปฏิเสธที่จะเสียภาษีเพราะไม่เห็นด้วยกับการใช้จ่ายเงินภาษีของรัฐ จึงถูกจับกุมคุมขัง มีเพื่อนผู้หนึ่งช่วยจ่ายภาษีให้แทน แต่การที่มีเพื่อนมาช่วยจ่ายภาษีแทนให้ โดยไม่สนใจการประท้วงของเขา ข้าพเจ้าเชื่อว่านี่เป็นเหตุที่ทำให้เขายอมเลิกประท้วง ไม่มีอาการอันเป็นปฏิปักษ์หรือคำเย้ยหยันใดๆ มีน้ำหนักพอสำหรับเขา เพราะธอโรยังคงยืนยันความคิดเห็นของตนอย่างเย็นชาและมั่นคง มิใยว่าความเห็นที่แตกต่างนั้นจะเป็นของมิตรสหายของตนก็ตาม และมิใยว่าทุกผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้นจะมีความเห็นขัดแย้งหรือหาไม่ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ธอโรไปใช้ห้องสมุดมหาวิทยาลัยเพื่อขอยืมหนังสือ แต่บรรณารักษ์ปฏิเสธไม่ยอมให้ยืม ธอโรจึงร้องเรียนไปยังอธิการบดีซึ่งได้ชี้แจงให้ธอโรทราบระเบียบการใช้ห้องสมุด ซึ่งจะให้ยืมเฉพาะแต่นักศึกษา ศิษย์เก่าและประชาชนซึ่งอาศัยอยู่ในรัศมีสิบไมล์ของมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่ธอโรได้แย้งอธิการบดีว่าทางรถไฟได้ทำลายระยะทางแบบเก่าลงแล้วว่าห้องสมุดนั้นไร้ประโยชน์ ทั้งอธิการบดีและมหาวิทยาลัยก็เป็นสิ่งไร้ประโยชน์ด้วย หากพิจารณาในแง่ของกฎเกณฑ์ที่ใช้อยู่นี้ ธอโรบอกว่าหนึ่งเดียวที่ตนเป็นหนี้มหาวิทยาลัยอยู่ก็คือห้องสมุด และในขณะที่ความต้องการหนังสือของตนจะจำเป็นและเร่งด่วนอย่างยิ่งแล้ว ทว่าตนยังต้องการเป็นจำนวนมากอีกด้วย ทั้งยังยืนยันว่ามิใช่บรรณารักษ์หรอกที่เหมาะสมจะเป็นผู้ดูแลสถานที่แห่งนี้ หากแต่ตนเองต่างหาก กล่าวโดยสรุปก็คือ อธิการบดีพบว่าคนที่มาร้องอุทธรณ์ผู้นี้เป็นผู้ที่ตอแยยากยิ่ง ทั้งกฎเกณฑ์ที่มีอยู่ก็ถูกมองอย่างไร้สาระด้วย ท้ายที่สุดจึงยอมให้ธอโรมีสิทธิพิเศษในการยืมหนังสือ ซึ่งเขาก็ได้ใช้สิทธินี้อย่างเต็มที่นับแต่นั้นมา ไม่มีชาวอเมริกันผู้ใดแท้จริงยิ่งไปกว่าธอโร เขารักผืนแผ่นดินถิ่นเกิด อย่างลึกซึ้ง ทั้งความเป็นปฏิปักษ์ต่อบุคลิกท่าทีและรสนิยมแบบอังกฤษและยุโรปก็เกือบจะถึงขั้นเหยียดหยามเลยทีเดียว เขามักจะสดับตรับฟังข่าวหรือถ้อยคำเก๋ๆที่ทิ้งคราบมาจากสังคมผู้ดีในลอนดอนด้วยความรู้สึกหงุดหงิด และถึงแม้จะพยายามรักษามารยาทเต็มที่ แต่เหตุการณ์ทำนองนี้ก็ทำให้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย ผู้คนในสังคมมักจะชอบเลียนแบบกัน และจากฉบับอันไร้สาระเสียด้วย เหตุใดมนุษย์จึงไม่อาจอยู่ให้ห่างไกลกันที่สุด เพื่อว่าแต่ละคนจะได้เป็นคนเต็มคนสมบูรณ์ สิ่งที่ธอโรเพียรแสวงหาก็คือ ธรรมชาติอันเปี่ยมด้วยพลัง เขาปรารถนาที่จะเดินทางไปยังโอเรกอนยิ่งกว่าลอนดอนเสียอีก "ทั่วทุกหนทุกแห่งในเกรท บริเทน" ธอโรเขียนไว้ในบันทึก "จะค้นพบร่องรอยของชาวโรมัน ไม่ว่าจะเป็นโลงศพ สถานที่ตั้งค่าย ถนนหนทาง และอาคารบ้านเรือนกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ทว่าในนิวอิงแลนด์แห่งนี้ อย่างน้อยที่สุดก็มิได้ตั้งอยู่บนซากปรักหักพังของโรมัน เราไม่จำเป็นต้องวางรากฐานอาคารบ้านเรือนทับอยู่บนซากถ่านเถ้าของอารยธรรมในอดีต" ธอโรเป็นนักอุดมคติที่ยืนหยัดต่อสู้ให้มีการเลิกทาส ให้เลิกเก็บภาษีและอาจถึงขั้นให้เลิกมีรัฐบาลด้วย คงไม่จำเป็นต้องกล่าวเลยว่าไม่เพียงแต่ธอโรจะไม่เป็นที่พึงปรารถนาของพรรคการเมืองทุกพรรคทุกค่ายเท่านั้น หากแต่ยังถูกต่อต้านจากนักปฏิรูปทุกชนชั้นอีกด้วย กระนั้นก็ดีธอโรกลับให้เกียรติยกย่องพรรคเลิกทาสอย่างเป็นทางการ มีคนผู้หนึ่งซึ่งธอโรรู้จักคุ้นเคยมาแต่ก่อน และให้เกียรติยกย่องเป็นอย่างสูง หลังจากกัปตัน จอห์น บราวน์ (*) ถูกจับกุมตัว ก่อนที่ธอโรจะกล่าว ปราศัยสดุดีคนผู้นี้ เขาได้แจกใบปลิวไปในอาคารบ้านเรือนทุกหลังในคองคอร์ด ลีซีอุม ว่าด้วยเรื่องเหตุการณ์และวีรภาพของกัปตันจอห์น บราวน์ ในเย็นวันอาทิตย์ จึงขอเชิญประชาชนให้มาร่วมรับฟัง ซึ่งสมาชิกพรรครีพับลิกันกับสมาชิกพรรคเลิกทาสได้ส่งคำเตือนมาว่า ยังเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมและไม่แนะนำให้พูดในเรื่องนี้ แต่ธอโรตอบกลับมาว่า "ข้าพเจ้าไม่ได้ส่งคำเชิญไปยังท่านเพื่อขอความเห็น หากแต่เพื่อจะบอกว่าข้าพเจ้าจะพูด" เมื่อถึงเวลา ห้องประชุมก็เนืองแน่นไปด้วยผู้คนจากทุกพรรคการเมืองตั้งแต่ก่อนเย็น และคนทั้งหมดในที่ประชุมก็ได้สดับตรับฟังคำสรรเสริญเกียรติคุณของวีรบุรุษท่านนี้ด้วยอาการอันเคารพ และด้วยความเห็นอกเห็นใจจนผู้ฟังเองก็อดที่จะประหลาดใจมิได้ กล่าวกันว่า โปลตีนัส (Plotinus) พรรคการเมืองตั้งแต่ก่อนเย็น และคนทั้งหมดในที่ประชุมก็ได้สดับฟังคำสรรเสริญเกียรติคุณของวีรบุรุษท่านนี้ด้วยอาการอันเคารพ และด้วยความเห็นอกเห็นใจจนผู้ฟังเองก็อดที่จะประหลาดใจมิได้. กล่าวกันว่า โปลตีนัส (Plotinus) รู้สึกละอายใจในร่างกายของตนและก็ดูมีเหตุผลที่จะทำให้รู้สึกดังนั้น ด้วยเหตุว่าร่างกายของเขานั้นเป็ฯคนรับใช้ที่เลวและเขายังขาดความสามารถที่จะสัมพันธ์กับโลกของวัตถุ ดังที่เกิดขึ้นอยู่เสมอกับผู้คนซึ่งมีความคิดในทางนามธรรม แต่ทว่าธอโรกลับมีร่างกายที่แข็งแรงและใช้การได้ยอดเยี่ยม เขาเป็นคนร่างเตี้ย ทว่าแข็งแรงบึกบึน มีผิดขาว และมีดวงตาสีฟ้าอันครุ่นคิดจริงจัง ในช่วงปีหลัง ๆ นี้ใบหน้าของเขามีเคราขั้นครึ้ม สัมผัสของเขาแหลมคม โครงร่างของเขาแข็งแกร่ง มือไม้แข็งแรงและมีความชำนาญในการหยิบจึงใช้สอยเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ นับเป็นเรือนร่างและจิตใจที่แข็งแรงสมบูรณ์อย่างน่าพิศวง เขาอาจใช้ขาก้าววัดระยะสิบหกร็อดได้อย่างแม่นยำโดยไม่ต้องใช้สายวัด เขาอาจคลำทางไปในป่ายามค่ำคืนอันมืดมิดได้โดยบอกว่าให้เท้าช่วยนำทางไปแทนที่จะใช้สายตา เขาอาจวัดความใหญ่ของลำต้นไม้ได้โดยการคะเนเอาด้วยตา และอาจประมาณน้ำหนักของวัวและหมูได้ยังกับพ่อค้าสัตว์ จากกล่องที่บรรจุดินสอไว้เต็ม เขาอาจคว้าขึ้นมาอย่างรวดเร็วได้ทีละโหลอย่างแม่นยำ เขาเป็นนักว่ายน้ำชั้นเยี่ยม เป็นนักวิ่ง นักสเก็ต และนักเดินเรือ และอาจเดินได้ไกลเกินชาวบ้านคนใด ๆ ในช่วงเวลาหนึ่งวัน และความสัมพันธ์ระหว่าง ร่างกายกับจิตใจนี้ กลับเป็นเรื่องละเอียดอ่อนลึกซึ้งเกินกว่าที่เราจะคาดคิด ธอโรบอกว่า เขาต้องการทุกย่างก้าวที่เท่าของตนเดินไป ระยะทางเดินเหล่านั้นเองที่ได้ก่อตัวขึ้นเป็นเส้นทางอักษรของเขา ถ้าหากว่าธอโรหมกตัวอยู่ในบ้านแล้ว เขาก็จะไม่เขียนหนังสือเลย. ธอโรเป็นคนที่มีไหวพริบปราดเปรื่องมากเหมือนดังที่ โรส แฟลมมอค ลูกสาวช่างทอผ้าในนวนิยายของสก็อต ได้วิจารณ์บิดาของเธอว่า แม่นยำอย่างกับไม้หลาที่ใช้วัดผ้าลินินและผ้าสาลู ซึ่งอาจนำมาใช้วัดพรมและผ้ายกดิ้นทองได้ด้วยเขามักจะมีความคิดริเริ่มใหม่ๆ อยู่เสมอ เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าต้องการจะปลูกป่าและไปหาเมล็ดพันธุ์โอ๊กมาได้ครึ่งเป๊กนั้น ธอโรบอกว่ามีเพียงส่วนเดียวเท่านั้นเองที่ไม่ลีบ และลงมือคัดเลือกเมล็ดที่ดีออกมา แต่เมื่อรู้สึกว่างานนี้ใช้เวลามากจึงบอกว่า"ผมคิดว่า ถ้าคุณเทมันลงไป ในเมล็ดที่ดีจะจมลงไป" ซึ่งเราก็ได้ลองวิธีนี้ดูและพบว่าใช้การได้ เขาสามารถออกแบบสวน บ้าน หรือแม้แต่โรงนาเขามีความสามารถถึงขั้นที่จะเป็นผู้นำ "คณะสำรวจมหาสมุทรแปซิฟิกด้วยซ้ำ" เขาอาจให้ข้อวินิจฉัยได้อย่างแจ่มชัด ทั้งในเรื่องส่วนตัวและกิจการสาธารณะที่ยากเข็ญที่สุด เขามีชีวิตอยู่เพื่อปัจจุบัน มิใช่ห่อเหี่ยวจมดิ่งอยู่กับอดีต ถ้าหากว่าเขาได้นำความคิดใหม่ ๆ มาเสนอให้ฟังเมื่อวันวาน เขาก็จะนำควบคิดที่ก้าวหน้ากว่ามาพูดให้ฟังในวันนี้ สำหรับผู้ที่ขยันขันแข็งและทำงานหนัก เป็นผู้คนในระบบที่ให้คุณค่ากับเวลาเป็นอย่างสูง ในสายตาของคนเหล่านี้จึงดูเหมือนว่าธอโรเป็นบุคคลเพียงผู้เดียวในเมืองนี้ที่มีเวลาว่างอย่างเหลือเฟือ เป็นคนที่พร้อมเสมอสำหรับการเดินทางที่ตนสนใจ พร้อมที่จะพูดคุยจนดึกดื่น จิตใจอันว่องไวแหลมคมของเขาไม่เคยถูกทำให้สะดุดหยุดยั้งลงด้วยกิจวัตรในทางโลก ทว่ากลับพร้อมเสมอที่จะค้นพบสิ่งใหม่ ๆ เขาชอบกินอาหารง่าย ๆ กระนั้นก็ดี เมื่อมีคนมาบอกให้เขาทานอาหารมังสวิรัติ ธอโรกลับคิดว่า การที่จะกินอาหารชนิดไหนนั้นเป็นเรื่องเล็ก เขากล่าวว่า "มนุษย์ซึ่งล่าควายป่ากินเป็นอาหาร ยังมีชีวิตที่ดีกว่าพวกที่พักอยู่ในเกรแฮม เฮ้าส์เสียอีก" ธอโรกล่าวไว้ว่า "คุณอาจนอนหลับอยู่ข้าง ๆ ทางรถไฟได้โดยไม่ถูกรบกวนเลย ด้วยธรรมชาติย่อมตระหนักดีในตัวของท่านเองว่า กระแสเสียงใดที่พึงสดับตรับฟังและได้ปิดโสตประสาทเสียจากเสียงรถไฟ ด้วยว่าสิ่งต่าง ๆ ย่อมโอนอ่อนผ่อนตามจิตใจซึ่งเปี่ยมด้วยหลักธรรมและสมาธิจิตอันแน่วแน่นั้นจะไม่ถูกรบกวนเลย" ธอโรมักจะสังเกตจดจำสิ่งต่าง ๆ ซึ่งตนประสบพบได้ดี ดังเช่น ครั้งหนึ่งเมื่อเขาได้รับต้นไม้ต่างถิ่นที่หาได้ยากยิ่งพันธุ์หนึ่ง เขาก็จะค้นพบพันธุ์ไม้เดียวกันนี้ด้วยตนเอง และก็มักจะโชคดีได้เป็นผู้ค้นพบอยู่เสมอ มีอยู่วันหนึ่งขณะที่เดินไปกับเพื่อนแปลกหน้า คนผู้นั้นได้ถามขึ้นว่า จะพบหัวลูกธนูของชนเผ่าอินเดียนได้ที่ไหน ธอโรก็ตอบว่า "ทุกหนทุกแห่ง" แล้วก็ก้มลงเก็บหัวลูกธนูที่พื้นขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ที่ขุนเขาวอชิงตัน ในทัศเคอร์แมน ราไวน์ ธอโรประสบอุบัติเหตุตกลงมาเท้าแพลง ในขณะที่กำลังจะลุกขึ้นนั้นเอง เขาก็ได้แลเห็นใบของต้น Arnica mollis เป็นครั้งแตกที่นั่น นอกจากปฏิภาณอันปราดเปรื่อง
ผนวกกับทักษะความชำนาญต่าง ๆ มือไม้อันแข็งแรงคล่องแคล่ว การรับรู้อันแหลมคม
และจิตใจอันมุ่งมั่น ทว่าสิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่อาจเปรียบได้กัลคุณลักษณะอันเด่นล้ำอีกประการหนึ่งซึ่งฉายแสงอยู่ในชีวิตอันเรียบง่ายและซ่อนเร้นของเขา
สิ่งนั้นคือปรีชาญาณอันเจิดจำรัสอันหาได้ยากยิ่งในมวลหมู่มนุษย์ ซึ่งฉานฉายให้เขาได้แลเห็นโลกแห่งวัตถุนี้ว่าเป็นเพียงวิถีทางและสัญลักษณ์เท่านั้น
การหยั่งเห็นประการนี้ ซึ่งในบางครั้งได้ก่อเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวในตัวของกวี
และได้กลายมาเป็นสุคนธมาลัยแห่งงานเขียนของผองกวีเหล่านั้น แต่สำหรับธอโรแล้ว
มันได้กลายมาเป็นญาณทัศนะอันมีชีวิตชีวา และไม่ว่าจะมีเมฆหมอกอุปสรรคในทางโลกมาบดบังมืดมัวเพียงใดเขาก็ยังคงสัตย์ซื่อต่อโลกุตรญาณประการนั้น
เมื่อสมัยวัยหนุ่ม ธอโรได้พูดขึ้นมาวันหนึ่งว่า "อีกโลกหนึ่งนั้นคือที่รวมแห่งศาสตร์ทั้งมวลของฉัน
ปากกาของฉันจะไม่ขีดเขียนเพื่อสิ่งอื่น คมมีดของฉันจะไม่กรีดสิ่งอื่นใด ฉันมิได้ใช้มันเพื่อเป็นวิถีทางเท่านั้น"
นี่คือโลกุตรญาณและอัจฉริยะภาพซึ่งเป็นแก่นหลักของความคิดความอ่าน คำพูดคำจา
ในการศึกษาหาความรู้ การงานและวิถีชีวิตทั้งหมดของเขา นี่เองที่ทำให้เขากลายเป็นนักวิเคราะห์มนุษย์
แค่เห็นเพียงแวบแรกเท่านั้น ธอโรก็จะหยั่งวัดคู่สนทนาของตน และแม้ว่าคนผู้นั้นจะดูปราศจากร่อยรอยของการอบรมบ่มเพาะให้เป็นผู้มีวัฒนธรรม
แต่เขาก็สามารถบ่งบอกถึงคุณลักษณะที่แท้จริงของคนผู้นั้นได้อย่างถูกต้อง
และนี่เองทำให้คู่สนทนาของเขามักจะรู้สึกว่าธอโรเป็นอัจฉริยะอยู่เนือง ๆ "แต่ว่าท่านจะไปไหนต่อจากนี้เล่า ?" นี่ช่างเป็นถ้อยคำที่ทำให้อับจน เป็นคำถามอันล้ำลึกซึ่วไม่อาจตอบโต้ได้ และมิตรสหายทุกคนของธอโรย่อมจดจำเหตุการณ์ตัวอย่างนี้ได้เป็นอย่างดี. ธอโรได้อุทิศอัจฉริยภาพทั้งหมดของตนให้แก่ท้องทุ่งป่าเขาและลำธารของเมืองอันเป็นถิ่นเกิด เขาช่วยทำให้เป็นที่รู้จักและนำมาสู่ความสนใจของนักอ่านชาวอเมริกันและในประเทศโพ้นทะเล เขารู้จักแม่น้ำสายที่เขาเกิดขึ้นและตายไปนี้อย่างละเอียดลออ ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนกระทั่งถึงส่วนที่เชื่อมต่อกับลำน้ำเมอรี่แม็ค เขาได้เฝ้าสังเกตความเปลี่ยนแปลงของลำน้ำสายนี้ในช่วงฤดูกาลต่าง ๆ ตั้งแต่ฤดูร้อนถึงฤดูหนาว ในช่วงเวลาต่าง ๆ ของวันและคืน ติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี ซึ่งจากรายงานการสำรวจเมื่อเร็ว ๆ นี้ของคณะกรรมการสำรวจลำน้ำซึ่งรัฐแมสซาซูเซ็ทส์ได้จัดตั้งขึ้น ได้ยืนยันให้เห็นว่าธอโรได้ทราบข้อมูลเหล่านั้นแล้วจากการสำรวจส่วนตัวเป็นเวลาหลายปีก่อนหน้านั้นเสียอีกในปรากฏการณ์ธรรมชาติทุกประการซึ่งอุบัติขึ้น ไม่ว่าจะในท้องธาร บนฝั่งหรือในอากาศเหนือลำน้ำสายนี้ ไม่ว่าจะเป็นปลาชนิดต่าง ๆ การทำรังและการวางไข่ ลักษณะนิสัยและการหากิน แมลงเม่าซึ่งบินขวักไขว่าอยู่เต็มอากาศในบางเย็น ซึ่งฝูงปลาพากันมาฮุบกินอย่างหิวกระหาย และที่เหลือก็ตายไปเองภายในเวลาไม่นาน กองก้อนหินเล็ก ๆ ทรงกรวยในลำน้ำส่วนที่ตื้น ๆ ซึ่งบางกองอาจนำมาบรรทุกเกวียนได้เต็มทีเดียว กองก้อนหินเหล่านี้คือรังอันใหญ่โตมโหฬารของปลาตัวเล็ก ๆ บรรดานกกินปลาชนิดต่าง ๆ ซึ่งมาเยือนลำน้ำสายนี้อยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นนกกระสา นกเป็นน้ำ ลูน และนกออก งู หนูมัสค์แร็ท นาก อ้น และสุนัขจิ้งจอกที่อาศัยอยู่ตามริมฝั่ง และยังมีเต่า กบ ปาดและจิ้งหรีด ซึ่งร้องเซ็งแซ่ประสานอยู่บนฝั่งธาร เหล่านี้ธอโรล้วนรู้ซึ้ง และรู้จักอย่างที่มันเป็นไม่ว่าจะเป็นเพื่อนมนุษย์หรือเพื่อนสรรพสัตว์ จนทำให้เขารู้สึกเป็นเรื่องงี่เง่าหรือกระทั่งเป็นความรุนแรงทีเดียวในความพยายามที่จะแยกส่วนสิ่งเหล่านี้ออกมาอธิบายอย่างโดด ๆ และยิ่งแย่หนักขึ้นอีกหากพยายามจะหยั่งวัดมันด้วยกฏเกณฑ์อันตรายตัวบางอย่าง หรือกระทั่งนำโครงกระดูกของมันมาแสดงหรือเก็บตัวอย่างกระรอกและนก ดองใส่ขวดมา ทว่าเขามีความสุขยิ่งกว่าที่จะพูดถึงลำน้ำในฐานะของสิ่งซึ่งมีชีวิต ทว่าเต็มไปด้วยความเที่ยงตรง เต็มไปด้วยหลักการและข้อเท็จจริงอันอาจรับรู้ได้ และดังเช่นลำน้ำสายนี้ ธอโรรู้จักบึงน้ำในภูมิภาคนี้อย่างลึกซึ้งยิ่งเช่นกัน. เครื่องมืออย่างหนึ่งซึ่งเขาใช้ ซึ่งสำคัญยิ่งกว่ากล้องจุลทัศน์ หรือเครื่องวัดแอลกอฮอร์ของนักค้นคว้าคนอื่น ๆ เสียอีก นั่นก็คือ สัญชาตญาณซึ่งก่อเกิดขึ้นมาจากการทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับสิ่งที่ตนสนใจศึกษา ทว่าปรากฏขึ้นด้วยถ้อยคำอื่น นั่นก็คือการยกให้ท้องถิ่นของตนเป็นศูนย์กลางของการเฝ้าสังเกตปรากฏการณ์ธรรมชาติ ธอโรให้ข้อสังเกตไว้ว่า พืชพรรคทั้งมวลในแมสซาชูเซ็ทส์นั้นแทบจะครอบคลุมพืชพรรณหลัก ๆ ทั้งมวลในอเมริกาทีเดียว มีต้นโอ๊ก ต้นหลิว และต้นสนพันธุ์ดี ๆ อยู่แทบทุกชนิด มีต้นแอช เมเปิ้ล บีชและนัทเขานำหนังสือ "การเดินทางในมหาสมุทรอาร์คติก" ของเคน ไปคืนเพื่อนพร้อมกับกล่าวว่า "ปรากฏการณ์ทั้งมวลซึ่งมีบันทึกอยู่ในหนังสือก็อาจสังเกตเห็นได้ในคองคอร์ดเช่นกัน" แต่ดูเหมือนว่าธอโรจะรู้สึกอิจฉาปรากฏการณษ์ธรรมชาติในแถบขั้วโลกอยู่เล็กน้อย ดังเช่น ปรากฏการณ์อาทิตย์ขึ้นและตกพร้อม ๆ กัน หรือวันที่ยาวเพียงห้านาทีต่อ หกเดือน อันเป็นปรากฎการณ์พิเศษซึ่งอันเนอร์สนักไม่อาจมอบให้แก่เขาได้ เขาพบหิมะสีแดงในระหว่างการเดินเล่นครั้งหนึ่ง และมาบอกกับข้าพเจ้าว่าคาดว่าจะพบ Victoria regia ในคองคอร์ดธอโรเป็นผู้ที่ยืนหยัดอยู่ข้างพืชพรรณพื้นเมือง และมักจะชมชอบวัชพืชยิ่งกว่าพรรณพืชที่นำมาปลูกจากต่างแดน ดุจดังที่เขาชื่นชมชนเผ่าอินเดียนยิ่งกว่าผู้คนศิวิไลซ์ เขาเคยสังเกตเห็นต้นวัชพืชวิลโลว์ บีน - โพลของเพื่อนบ้านงอกเงยสูงกว่าต้นถั่วของเขาเสียอีก "ดูวัชพืชเหล่านี้ซิ" เขากล่าว "ซึ่งถูกชาวไร่นับล้าน ๆ สับฟันด้วยจอบอยู่ตลอดฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ทว่าก็ยังคงอยู่ และยังงอกงามสะพรั่งปกครุมร่องพืช เรือกสวน และท้องทุ่ง เต็กมไปด้วยพลังชีวิตอันแรงกล้าเราได้เยียดหยามมันโดยการตั้งชื่ออันต่ำทรามให้ ดังเช่น พิควีด เวิร์มวู้ด ชี้กวีด และแช็ด บลอสซั่ม" แต่เขาบอกว่าพืชเหล่านี้ยังมีชื่ออันงามสง่าอยู่ด้วยดังเช่น อาโบรเซีย สเตลลาเรีย อาเมลันเชียร์ และอามารันต์ ฯลฯ ข้าพเจ้าคิดว่าจินตนาการของธอโรในการเชื่อมโยงทุกสิ่งทุกอย่างเข้ากับภูมิภาคคองคอร์ดนี้ มิได้เกิดจากความบอดใบ้หรือความดูถูกดูแคบนในภูมิภาคอื่นหากเป็นเพียงการกระเซ้าเย้าแหย่จากพื้นฐานความเชื่อที่ว่าทุกหนทุกแห่งนั้นมิได้แตกต่างกัน และสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับแต่ละคนก็คือที่ที่ตนยืนหยัดอยู่นั้นเอง ธอดรได้เคยแสดงความเชื่อนี้ออกมาว่า "ฉันไม่คิดว่าจะหวังอะไรในตัวเธอได้ ถ้าหากว่าพืชพรรณที่ขึ้นงอกเงยอยู๋ใต้เท้าของเธอนี้มิได้มีรสชาติหวานล้ำสำหรับเธอยิ่งไปกว่าในดินแดนอื่น หรือในโลกอื่น" เครื่อมืออีกอย่างหนึ่งซึ่งธอโรใช้พิชิตอุปสรรคทั้งมวลในการแสวงหาความรู้ก็คือความอดทน เขาเรียนรู้ที่จะนั่งนิ่งโดยไม่เคลื่อนไหว จนคล้ายเป็นส่วนหนึ่งของก้อนหินที่ตนนั่งอยู่ จนกระทั่งนกหรือปลาซึ่งหลบซ่อนตัวอยู่กล้ากลับออกมาอีกครั้ง และกลับคืนสู่พฤติกรรมเดิมของมัน หรืออาจกล่าวได้ว่ามันกลับออกมาเฝ้าดูเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น เป็นเรื่งอน่ายินดีที่จะได้เดินร่วมทางไปกับเขา เพราะเขารู้จักภูมิประเทศดีพอ ๆ กับสุนัขจิ้งจอกหรือนก และอาจเดินลัดตัดทางไปอย่างอิสระตามเส้นทางของตนเอง เขารู้จักรอยบนหิมะหรือบนพื้นดิน และรู้ว่าสัตว์ชนิดใดได้ล่วงทางไปก่อน เราคงจะต้องยอมศิโรราบให้แก่ผู้นำทางเช่นนี้ และสิ่งที่เราจะได้เรียนรู้ก็มีค่ามหาศาลทีเดียว เขามักจะหนีบหนังสือเพลงเล่มเก่า ๆ ไปด้วย เอาไว้สำหรับสอดทับใบไม้ และในกระเป๋าก็มีสมุดบันทึกกับดินสอติดตัวอยู่ มีกล้องส่องทางไกล แว่นขยาย มีดและเชือก เขามักจะสวมหมวกฟาง รองเท้าลุยป่ากางเกงสีเทาทนทาน เอาไว้สำหรับบุกป่าฝ่าดง ลุยพงเชริบ โอ๊ก และสไมแลคปีนป่ายต้นไม้เสาะหารังเหยี่ยวหรือโพรงกระรอก เขาลุยลงไปในสระเพื่อเก็บพืชน้ำ และขาอันแข็งแรงของเขาก็เป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของเกราะชุดนี้ มีอยู่วันหนึ่งเขาเที่ยวเดินหาต้นเมนีแอนทีสและแลเห็นมันอยู่ในบึงใหญ่แห่งหนึ่งหลังจากไดพิจารณาดูดอกเล็ก ๆ ของมัน ก็สันนิษฐานว่าดอกไม้นี้านมาแล้วร่วมห้าวัน เขาดึงสมุดบันทึกออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และอ่านรายชื่อของพรรณไม้ทุกต้นที่น่าจะบานในวันนั้น ประดุจดังนายธนาคารลงบัญชีประจำวันกระแสการเงินของตน ส่วนต้นไซปรีปีเดียมนั้นจะยังไม่บานกระทั่ววันรุ่งขึ้น เขามั่นใจว่าถ้าหากเขาได้ตื่นขึ้นมาจากการหลับไหลอันยาวนาน เขาก็อาจระบุช่วงเวลาของปีได้จากพรรณไม้น้ำในหนองแห่งนี้ได้ภายในเวลาสองวัน มีนกเร็ดสตารท์บินไปบินมาและยังมีนกรอสบีคอีกด้วย ซึ่งขนสีแดงสดของมั่นทำให้ผู้ที่จองดูอยู่ต้องขยี้ตา ทั้งเสียงร้องอันเสาะใสของมันก็ถุกธอโรนำไปเปรียบกับนกทาเนเจอร์ได้ทีเดียว บางครั้งเขาก็ได้ยินสียงร้องของนกซึ่งเขาเรียกว่านกไหท์ - สาร์บเบอล อันเป็นนกซึ่งธอไม่เคยแลเห็นตัวมาก่อน และพยายามติดตามค้นหาอยู่เป็นเวลาสิบสองปี ซึ่งทุกครั้งที่พบเห็นมันก็กำลังดำดิ่งเข้าไปในพุ่มไม้ จนแทบจะหมดหวังที่จะได้แลเห็นอย่างนัดชัดตาทีเดียว เป็นนกเพียงชนิดเดียวที่ร้องเสียงเหมือนกันทั้งยามกลางวันแลกลางคืน ข้าพเจ้าบอกให้เขาระวังไว้บางในการติดตามเสาะหาและจดบันทึกเอาไว้ เพราะถ้ารู้ไปเสียหมดแล้ว ชีวิตก็คงจะไม่มีอะไรใหม่ ๆ ให้ได้รู้ได้เห็นอีก แต่ธอโรกลับตองว่า "สิ่งที่คุณเสาะแสวงหาอย่างไร้หวังมาครึ่งค่อนชีวิต ครั้นแล้วจู่ ๆ วันหนึ่งคุณก็ประจันหน้ากับมันเข้าอย่างจัง คุณแสวงหาเหมือนดังติดตามค้นหาความฝัน และในทันทีทันใดที่คุณได้คันพบ คุณก็กลับตกเป็นเหยื่อของมันเสียเอง ความสนใจในเรื่องพรรณไม้ดอกและวิหกนกไพรฝังซ่อนลึกอยู่ในจิตใจของเขา ความสนใจประการนี้เกี่ยวพันอยู่กับธรรมชาติ ทั้งธอโรก็ไม่เคยพยายามที่จะสรุปความหมายของธรรมชาติเลย เขาไม่ยอมมอบบันทึกการสำรวจของตนให้แก่สมาคมธรรมชาติวิทยา "เหตุใดฉันจะต้องทำดังนั้นด้วย การพรากคำบรรยายเหล่านั้นออกจากต้นตออันเป็นสายใยเชื่อมโยงอยู่ในจิตใจของฉัน ย่อมทำให้สิ่งเหล่านั้นหมดสิ้นคุณค่าความหมายไป ทั้งคนเหล่านั้นก็มิได้ต้องการสิ่งซึ่งแฝงเร้นอยู่ในนั้นด้วย" พลังการสำรวจเสาะหาของเขาแรงกล้าจนประดุจว่าได้กลายเป็นสัมผัสพิเศษ เขาแลเห็นดุจดังมองผ่านแว่นขยาย ได้ยินดุจดังหูทิพย์และคยามทรงจำนั้นเล่าก็แม่นจำดุจดังภาพถ่ายซึ่งบันทึกสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินเอาไว้ ทว่าก็หามีใครล่วงรู้ไม่ว่า มิใช่ข้อเท็จจริงเหล่านั้นเลยที่มีความหมายหากแต่ความประทับใจหรือสิ่งที่กระทบถูกจิตใจนั้นต่างหาก ข้อเท็จจริงทุกประการล้วนส่องแสงเรืองโรจน์อยู่ในจิตใจของเขา เป็นรูปลักษณ์แห่งแบบแผนกฎเกณฑ์ และความงดงามของเอกภาพทั้งหมด ความในใจในเรื่องธรรมชาติวิทยาของธอโรเป็ฯไปอย่างกลมกลืนสอดคล้องกับธรรมชาติาก เขาสารภาพว่าบางครั้งรู้สึกตัวว่าเป็นเหมือนกับสุนัขล่าเนื้อหรือเสือดาวทีเดียว แลถ้าหากว่าตนได้เกิดมาใสเผ่าดินเดียนแล้วก็คงจะกลายเป็นพรานอย่างแน่แท้ แต่ทว่าด้วยเหตุที่ถูกครอบงำขัดเกลาโดยวัฒนธรรมของแมสซาชูเซ็ทส์ ทำให้เขาต้องลดบทบาทลงมาเล่นเพียงเรื่องพฤกษศาสตร์และมัจฉาวิทยาเท่านั้น ความคุ้นเคยกลมกลืนกับสัตว์ชนิดต่าง ๆ ของธอโรแทบจะเทียบเคียงได้กับบัตเลอร์นักผึ้งวิทยา ซึ่งโทมัส ฟุลเลอร์ได้บรรยายถึงไวว่า "เขาคางจะบอกให้ผึ้งทราบถึงสิ่งต่าง ๆ หรือไม่ผึ้งก็คงจะบอกเขา" งูจะมากระหวัดพันอยู่รอบขาของธอโร ปลาจะว่ายเข้ามาในมือ และเขาก็จับมันขึ้นมาจากน้ำได้อย่างง่ายดาย เขาดึงหางของตัวอ้นลากออกมาจากรู และสามารถจับสุนัขจิ้งจอกได้จากที่กำบังซึ่งเร้นกายได้พันแม้จากเงื้อมมือพรานนักธรรมชาติวิทยาผู้นี้เป็นผู้ที่มิใจเปิดกว้างเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่มีความลับใดที่จะต้องปกปิดเลย เขาอาจนำท่านไปชมที่พักของนกกระสา หรือแม้แต่ไปเยือนหนองบึงอันทรงคุณค่าในทางพฤกษศาสตร์ที่สุด แม้เขาจะล่วงรู้ว่าท่านไม่มีวันจกลับไปค้นหาสถานที่แห่งนั้นพบอีก แต่เขาก็เต็มใจที่จะเสี่ยงพาท่านไปร่วมชื่นชม ไม่มีมหาวิทยาลัยแห่งใดอวยปริญญาบัตรหรือตำหน่งงศาสตร์จารย์ให้แก่ธอโร
ไม่มีสถาบันการศึกษาแห่งใด มอบตำแหน่งเลขานุการให้ ให้เกียรติในฐานะผู้ค้นพบ
หรือแม้แต่มอบตำแหน่งสมาชิกให้ เป็นไปได้ที่สถบันทางวิชาการเหล่านี้อาจรู้สึกเกรงกลัวคำเสียดสีของคนผู้นี้ยามเมื่อเขาปรากฏกายขึ้นกระนั้นก็ดี
ธอโรกลับเต็มไปด้วยอัจฉริยภาพและความร้บรู้ในความสลับของธรรมชาตอย่างชนิดที่ยากจะหาผู้ใดเสมอเหมือน
ยากจะมีผู้ใดชัดเจนลึกซึ้งในทางนามธรรมเช่นนี้เลย ธอโรงไม่เคยใส่ใจใยดีกับความคิดเห็นและคำวิพากษ์วิจารณ์ของปัจเจกหรือกลุ่มชนใดเลย
ทว่ากลับให้ความเคารพต่อสัจจะเพียงประการเดียวเท่านั้น ยิ่งเขาได้ค้นพบถึงมารยาทอันจอมปลอมของคนผู้มีการศึกษาสูงทั่วทุกหนทุกแห่งด้วยแล้ว
ก็ยิ่งทำให้รู้สึกเหยียดหยามมากยิ่งขึ้น ยิ่งนานวันธอโรก็ยิ่งได้รับความเคารพยกย่องจากชาวเมืองที่ตนอาศัยอยู่
ซึ่งหะแรกก็มองดูแค่ว่าเป็นคนแปลกประหลาดเท่านั้น พวกชาวไร่ชาวนาซึ่งจ้างให้ธอโรช่วยสำรวจรังวัดที่ให้ตน
ก็กลับค้นพบในไม่ช้าถึงความชำนิชำนาญและความสามารถของเขา ความรอบรู้อันกว้างขวางเกี่ยวกับสภาพภูมิประเทศในที่ผืนของตน
ความรอบรู้เกี่ยวกับพืชพรรณไม้ วิหคนกกา เครื่องมือเครื่องใช้ของชนเผ่าอินเยนที่จนฝังอยู่ในดินและรายบะเอียดอื่น
ๆ ซึ่งทำให้เขาสามารถบอกให้ชาวไร่ทุกคนได้ทราบเกี่ยวกับผืนดินของตนมากยิ่งกว่าที่เจ้าของเคยได้รู้มาแต่ก่อน
จนกระทั่งพวกชาวไร่หล่านี้เริ่มรู้สึกคล้ายดังว่าธอโรมิสิทธิอันชอบธรรมในผืนดินของตนยิ่งกว่าตัวเองเสียอีกพวกเขายังรู้สึกได้ถึงบุคลิกอันเด่นล้ำหนักแน่น
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนผู้นี้เป็นคนในท้องถิ่นนั้นอย่างเต็มภาคภูมิ ธอโรมีความสนใจในปรากฏการณ์ทุกอย่างของธรรมชาติ สัมผัสรับรู้อันลุ่มลึกของเขาได้ค้นพบถึงกฎเกณฑ์เดียวกันที่สอดสานร้อยรัดอยู่ในธรรมชาติข้าพเจ้าไม่เคยพอพานอัจฉริยผู้ใดเลยที่สามารถสรุปกฎเกณฑ์อันเป็นสากลออกมาได้จากปรากฎการณ์เยงประการเดียวได้อย่างรวดเร็เช่นนี้ เขามิใช่นักคิด นักวิชาการของค่ายใด สำนักใด สายตาของเขาเปิดกว้างออกสู่ความงามและโสตประสาทเปิดออกสดับเสียงดนตรี เขาได้ค้นพบสิ่งเหล่านี้มิใช่เพียงนาน ๆ ครั้ง ทว่าในทุกหนทุกแห่งที่เขาเดินทางไป เขาเชื่อว่าคีตการที่เลิศล้ำที่สุดนั้นย่อมดำรงอยู่ในกระแสเสียงเพียงหนึ่งเดียว ทั้งยังได้พบบทกวีอยู่ในเสียงลมพัดผ่านสายโทรเลข และไม่ว่าบทกวีของธอโรจะดีหรือเลวก็ตาม ทว่าไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขากลับต้องการใช้ฝีมือและฉันทลักษณ์อย่างง่าย ๆ เพราะเหตุที่เขามีต้นธารแห่งบทกวีอยู่ในดวงวิญญาณของตนแล้ว ธอโรงเป็นทั้งนักอ่านและนักวิจารณ์ที่ยิ่งยงและคำวินิจฉัยเกี่ยวกับบทกวีของเขานั้นก็เที่ยงตรงเชื่อถือได้ ไม่มีใครอาจหลอกธอโรได้ด้วยบทประพันธ์สวย ๆ ที่ขาดวิญญาณของกวีนิพนธ์ นี่เองทำให้เขารู้สึกเหยียดหยามความงามอันฉาบฉวยเช่นนั้น เขาอาจอ่านบทประพันธ์อันขัดเกลาอย่างสละสลวยไปอย่างผ่านๆ ทว่าสังเกตพบทุกบททุกบรรทัดในงานซึ่งเต็มเปี่ยมด้วยชีวิต และยังสามารถดูออกว่างานปรพันธ์ประเภทร้อยแก้วชิ้นไหนที่เปี่ยมไปด้วยความงามเช่นนั้นด้วย เขาดื่มด่ำอยู่กับความงามทางด้านนามธรรม จนทำให้ถือว่าบทกวีที่กล่าวถึงแค่ปรากฎการณ์เป็นงานที่ต่ำต้อยด้อยค่ากว่า เขายกย่องงานของกวีกรีกเอสไคลุส (Aeschelus) และพินดาร์ (Pindar) แต่เมื่อมีใครเอ่ยอ้างถึงกวีทั้งสอง ธอโรก็จะบอกว่า "เอสไคลุสและกวีกรีกคนอื่นๆ ในยามเมื่อพรรณนาถึงอะพอลโล (Apollo) และออร์ฟุลส (Orphans) กลับมิใช่คีตการที่ดีกระไรนัก และถึงแม้ว่าเราจะไม่ถึงกับคาดหวังให้กาพย์ของท่านทำให้พรรณพฤกษารู้สึกสะเทือนอารมณ์ไปด้วยก็ตาม แต่ทว่าการขับกาพย์เหล่านี้ให้เทพเจ้าสดับ ก็เป็นเหมือนดังการหลั่งไหลนามธรรมความคิดเก่า ๆ ของพวกท่านออกมา และดูดรับเอาความคิดใหม่เข้าไป" บทกวีของธอโรเองก็ยังหยามและดิบอยู่เช่นกัน เป็นแร่ทองซึ่งยังเต็มไปด้วยสิ่งเจือปน และยังมิได้หล่อหลอมให้บริสุทธิ์ เป็นเครื่องเทศหอมที่ยังไม่ได้ถูกหมักกล่อมให้หวานล้ำดังน้ำผึ้งป่าแต่แม้ว่าเขาจะขาดฝีมือและความสละสลวยทางกวีนิพนธ์ แม้ว่าเขาจะขาดการแสดงออกอย่างละเอียดอ่อนกลมกลืน ทว่างานของธอโรก็ไม่เคยขาดสารัตถะทางความคิดเลย นี่แสดงให้เห็นว่าอัจฉริยภาพของเขาเด่นล้ำกว่าพรสวรรค์ธอโรรู้ดีว่าจินตนาการเป็นเครื่องปลอบโยนและช่วยยกจิตวิญญาณมนุษย์ จึงมักจะสอดใส่ความคิดของตนออกมาในสัญลักษณ์ ปรากฏการณ์ที่บอกเล่าออกมาอาจไม่ได้สลักสำคัญอะไร ทว่าหัวใจกลับอยู่ในความประทับใจที่ได้รับ ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้การดำรงอยู่ของธอโรเป็นบทกวีชนิดหนึ่ง ที่กระตุ้นแหย่และยั่วเย้าให้คนซึ่งอยากรู้อยากเห็นพยายามติดตามค้นหาล่วงลึกเข้าไปในความลี้ลับแห่งจิตใจของเขา เขามีหลายสิ่งหลายอย่างที่เก็บงำซ่อนเร้นเอาไว้ ด้วยไม่ปรารถนาที่จะเปิดเผยในสิ่งที่ตนถือสูงส่งต่อสายตาอันต่ำต้อย และรู้วิธีที่ใช้ใช้บทกวีเป็นเครื่องอำพรางความรู้สึกที่แท้จริงของตนไว้ ซึ่งผู้ที่ได้เคยอ่านวอลเดน คงจะจำได้ถึงบันทึกแห่งความผิดหวังเสียใจของเขาซึ่งได้กลายเป็นตำนานไปในภายหลัง
บทกวีที่ชื่อ "ความเข้าอกเข้าใจ" ของเขาได้แสดงให้เห็นความรู้สึกอันอ่อนโยนซึ่งซ่อนเร้นอยู่ภายใต้เกราะเหล็กสามชั้นของพรตจริยา ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนแห่งภูมิปัญญาซึ่งบันดาลให้บทกวีนี้มีชีวิตขึ้นมาและบทกวี "หมอกควัน" อันเป็นอมตะของเขายังทำให้ผู้อ่านนึกถึง ชีโมนีดีส (Simonizes) ทว่ายังดีกว่าบทกวีของซีโมนีดีสเสียอีก เราจะพบประวัติชีวิตของธอโรซ่อนอยู่ในบทกวีของเขา และความที่มีลักษณะเป็นนักคิดทำให้บทกวีทุกบทของเขาเป็นประดุจคีตการซึ่งขับขานจนถึงแก่นแท้แห่งสารัตถธรรม และเป็นดุจดังจิตใจที่ชี้นำและสอดใส่ชีวิตชีวาลงในดวงวิญญาณของเขา
แม้ว่าในงานเขียนของเธอโรมักจะกล่าววิพากษ์วิจารณ์ศาสนจักรและพวกพระอยู่บ่อยครั้ง ทว่าธอโรกลับเป็นคนที่อ่อนโยนและมีจิตใจใฝ่ธรรมเป็นอย่างยิ่ง เป็นคนซึ่งไม่อาจกระทำการทุศีลใด ๆ ได้เลย ไม่ว่าโดยความคิดหรือโดยการกระทำ แต่เป็นด้วยลักษณะความโดดเดี่ยวปลีกเร้นในแนวความคิดและวิถีชีวิต ที่กีดกันเขาออกจากรูปแบบทางศาสนาใด ๆ ซึ่งสิ่งนี้ก็มิใช่เรื่องน่าละอายหรือน่าตำหนิ เพราะอริสโตเติลได้เคยกล่าวนานมาแล้วว่า "คนผู้ซึ่งเปี่ยมด้วยคุณความดีเหนือคนอื่น ๆ ในสังคม ย่อมมิใช่เป็นส่วนหนึ่งของบ้านเมือง กฎหมายบ้านเมืองย่อมมิอาจใช้กับคนผู้นั้นได้ ด้วยเหตุที่ว่าตัวเขาได้กลายเป็นกฎ หมายสำหรับตัวเขาเองแล้ว" ธอโรก็คือตัวน้ำใสใจจริงนั้นเองทีเดียว ซึ่งวิถีชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์ของเขาอาจช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในแง่จริยธรรมให้แก่ศาสดาทั้งหลาย ชีวิตของเขาคือประจักษ์พยานยืนยันถึงสัจจะอย่างไม่มีถ้อถอย เป็นผู้ประกาศความจริงซึ่งอาจพูดคุยด้วยสารัตถุอันลึกซึ้งและยากเย็นที่สุด เป็นผู้บำบัดรักษาความป่วยไข้ของดวงวิญญาณทุกดวง เป็นเพื่อนซึ่งมิใช่จะรู้ซึ้งเพียงความเร้นลับของมิตรภาพเท่านั้น หากทว่ายังได้รับการบูชายกย่องจากคนบางคนซึ่งถือเอาเขาเป็นที่พึ่ง ในฐานะผู้ไถ่บาปและศาสดา ผู้รู้ซึ้งถึงคุณค่าความหมายแห่งดวงใจอันยิ่งใหญ่ของเขา ธอโรมีความเชื่อว่าหากปราศจากการอุทิศตนเพื่อการแสวงหาทางด้านนามธรรมเสียแล้ว ก็จะไม่มีความยิ่งใหญ่ใด ๆ เลยอุบัติขึ้น ทั้งยังสำทับว่าพวกนักเหตุผลนิยมซึ่งไม่เชื่อเรื่องนามธรรมพึงสังวรความข้อนี้ไว้ให้จงดี พรตพรหมจรรย์ของธอโรนั้นบางครั้งก็ค่อนข้างเลยเถิดสุดโต่ง คงไม่ยากนักที่เราจะแลเห็นข้อเรียกร้องเอาอย่างเกินกำลังจากคนอื่น ๆ เพื่อให้หันมาสู่สัจจะและใช้ชีวิตอย่างเปล่าเปลือยเรียบง่าย ซึ่งยิ่งทำให้ฤษีโดยสมัครใจตนนี้ยิ่งต้องโดดเดี่ยวเกินกว่าที่จะคาดคิด เมื่อตัวเขาเองประพฤติธรรมอย่างหมดจดเขาก็เรียกร้องให้คนอื่นกระทำไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ธอโรรังเกียจอาชญากรรมและถือว่าความสำเร็จใด ๆ ในทางโลกก็ไม่อาจช่วยกลบเกลื่อนอาชญากรรมที่กระทำลงไปนั้นได้ เขาสามารถสังเกตพบความไม่จริงใจได้ทั้งในตัวผู้ดีและยาจกซึ่งก็จะถูกเขาเย้ยหยันดุจเดียวกัน ความตรงไปตรงมาอย่างน่ากลัวนั้นเองที่เขาใช้ติดต่อสัมพันธ์กับผู้คน จนกระทั่งผู้ที่ชื่นชนพากันขนานนามเขาว่า "ธอโรผู้น่าเกรมขาม" ดุจดังว่าเขากำลังพูดขณะที่นิ่งเงียบ และยังคงอยู่แม้เมื่อจากไปแล้วซึ่งข้าพเจ้าคิดว่า ความเคร่งครัดจริงจังในอุดมคติดังกล่าวเป็นอุปสรรคทำให้เขาไม่อาจติดต่อสัมพันธ์กับสังคมมนุษย์ได้อย่างราบรื่น ความที่มีนิสัยแบบสัจนิยมซึ่งชอบพลิกกลับอีกโฉมหน้าหนึ่งของสิ่งต่าง ๆ ออกมา ทำให้เขาชอบใช้สำนวนเขียนแบบปฏิบถ (paradox) นิสัยการส่อแสดงโดยนักตรงกันข้ามเช่นนี้ ทำให้งานเขียนในยุคต้น ๆ ของเขาลดคุณค่าลงไปไม่น้อย การเล่นสำนวนดังกล่าวยังคงไม่หมดไปง่าย ๆ ในงานยุคหลัง ๆ โดยการใช้อุปมาอุปไมยแทนคำที่ต้องการจะกล่าวถึงด้วยถ้อยคำตรงกันข้าม ดังเช่น การชื่นชมป่าเขาลำเนาไพรและป่ายามเหมันต์ ว่ามีบรรยากาศอบอุ่นสบายเหมือนอยู่ในบ้านเรือน ในท่ามกลางน้ำแข็งและหิมะเขาก็จะว่าร้อน และเปรียบเปรยไพรพฤกษ์ว่าเป็นดุจดั่งกรุงโรมและปารีส "มันแห้งเสียจนกระทั่งเราอาจเรียกมันได้ว่าแฉะชื้น" อุปนิสัยที่ชอบนำสิ่งเล็กๆ มาขยายใหญ่การอ่านและสืบสาวกฎเกณฑ์ของธรรมชาติทั้งมวล ผ่านทางสิ่งเล็กๆ เพียงสิ่งหนึ่ง หรือผ่านสัมพันธภาพที่เราแลเห็น ย่อมเป็นเรื่องน่าขำสำหรับผู้ที่มิได้มีญาณทัศนะหยั่งถึงดังเช่นนักปรัชญา แต่สำหรับตัวธอโรเองแล้ว ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าขนาดดำรงอยู่ บึงน้ำนั้นก็คือมหาสมุทรเล็กๆ มหาสมุทรแอตแลนติกก็คือบึงวอลเดนใหญ่ เขาสามารถเชื่อมโยงสิ่งอันเล็กกระจ้อยร่อยเข้ากับกฎเกณฑ์ของจักรวาล และถึงแม้ว่าธอโรพยายามจะเที่ยงตรงเป็นกลาง ทว่าเขาก็ยังถูกหลอกหลอนอยุ่ด้วยความเชื่อที่ว่าศาสตร์ทั้งปวงในปันจจุบันแสร้งทำประดุจว่ามีความสมบูรณ์เพียบพร้อมในตนเองและเขาเพิ่งจะค้นพบว่าพวกเชนักวิชาการลืมที่าจะแจกแจงแยกแยะข้อแตกต่างของพืชพรรณชนิดต่าง ๆ ไม่สามารถที่จะอธิบายถึงลักษณะของเมล็ด หรือนับกลีบเลี้ยงของพืชนั้นได้ "นั่นก็คือ" เราอาจกล่าวโต้ "ไม่ได้มีพวกหัวขี้เลื่อยเหล่านั้นถือกำเนิดขึ้นในคองคอร์ด ทว่าใครเลยจะกล้ายืนยันดังนี้ นับเป็นโชคร้ายอย่างยิ่งของคนพวกนี้ที่ต้องไปเกิดในลอนดอน ปารีส หรือโรม แต่คนที่น่าสงสารเหล่านี้ ก็ได้ทำในสิ่งที่ตนสามารถ ถ้าหากพิจารณาดูในแง่ที่ว่า เขาไม่เคยได้เห็นเบตแมน พอนด์ หรือไนน์- เอเคอร์ - คอร์เนอร์ หรือเบ็กกี้ สโตว สแวมป์ มาก่อนเลย ก็น่าเห็นใจและนอกเหนือไปจากนี้ ก็เราเกิดมาในโลกเพื่อสิ่งใดเล่าหากมิใช่เพื่อมาสำรวจสิ่งต่าง ๆ เพิ่มเติมขึ้นไว้" ถ้าหากว่าเขาได้ตระหนักรู้ในอัจฉริยะภาพของตนแล้วไซร้ เขาก็คงจะปรับตัวเข้ากันได้ดีกับชีวิต ด้วยพลังและศักยะภาพเชิงปฏิบัติที่มีอยู่ จึงทำให้ดูเหมือนว่า ธอโรเกิดมาเพื่อที่จะกระทำกิจอันยิ่งใหญ่และเพื่อนำมหาชน ทว่าข้าพเจ้ากลับรู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่เขาขาดพลังที่จะกระทำกิจอันยิ่งใหญ่เหล่านี้ออกมา ข้าพเจ้าอดมิได้ที่จะกล่าวโทษเขาว่าเป็นเพราะการขาดความทะเยอทะยานนั่นแหละเป็นสาเหตุ เพราะแทนที่เขาจะใช้ความรู้เพื่อความรุดหน้าของอเมริกา เขากลับไปเป็นผู้นำคณะเก็บลูกฮัคเกิ้ลเบอรี่เสียได้ การตำถั่วก็อาจนับเป็นสิ่งที่ดีอยู่ ตราบเท่าที่อาณาจักรตำถั่วเช่นนี้ยังดำรงอยู่ ทว่าถึงที่สุดมันก็คงเป็นไปได้แค่ถั่วเท่านั้น. ทว่าจุดอ่อนข้อด้อยเหล่านี้ ไม่ว่จะเป็นจริงหรือเสมือนปรากฏอยู่ตามล้วนสาบสูญไปสิ้นในการเติบโตอย่างไม่หยุดยั้งของจิตวิญญาณอันทรงภูมิปัญญายิ่งใหญ่ ซึ่งได้ช่วยลบล้างข้อบกพร่องเหล่านี้ไปด้วยชัยชนะอย่างใหม่ที่เขาได้รับการศึกาาดิ่งลึกลงในธรรมชาติได้กลายเป็นอาภรณ์อมตะของเขา และได้บันดาลใจให้เพื่อนๆ ของเขารู้สึกกระตือรือร้นที่จะมองดูโลกด้วยสายตาอย่างธอโร และสดับตรับฟังเรื่องราวการผจญภัยของเขา ซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องราวรายละเอียดอันน่าสนใจใคร่รู้ ธอโรมีความงามสง่าน่าภาคภูมิอยู่ในตนเองหลายประการ แม้ว่าเขาจะเย้ยหยันความงามสง่าตามแบบแผนก็ตาม ถึงแม้ว่าเขาจะทนไม่ได้ที่จะสดับตรับฟังเสียงฝีเท้าของตนเองบนถนนโรยกรวด ดังนั้นเองจึงไม่ชอบที่จะเดินบนถนนหากแต่ย่ำไปบนเนินหญ้า ร่อนเร่ไปตามขุนเขาแนวไพร สัมผัสรับรู้ของเขาแหลมคมมาก ถึงขนาดที่เคยเขียนไว้ว่า ในยามกลางคืนนั้นบ้านเรือนทุกหลังส่งกลิ่นเหม็นเน่าออกมาเหมือนกับโรงฆ่าสัตว์ ธอโรรักกลิ่นอันหอมบริสุทธิ์ของดอกเมลิลอต และยกดอกไม้บางชนิดไว้สูง เหนืออื่นใดคือดอกบัว ถัดมาก็คือดอกเยนเชี่ยน และดอกไลฟ์ เอเวอร์ลาสติ้ง (Mikuni scanoens) และต้นบาส ซึ่งเขาไปเยี่ยมเยียนอยู่ทุก ๆ ปี ในฤดูดอกบานช่วงกลางเดือนกรกฎาคม เขาเชื่อว่านาสิกประสาทนั้นมีอำนาจรับรู้อันเป็นทิพย์ยิ่งกว่าสายตา เป็นทิพย์และเที่ยงตรงเชื่อถือได้ กลิ่นย่อมเปิดเผยให้ทราบถึงสิ่งที่ถูกซ่อนเร้นไว้จากสัมผัสรับรู้ประการอื่นและโดยอาศัจยการดมกลิ่นนี้เขาก็อาจรับรู้ได้ถึงสามัญโลก เขาชมชอบเสียงสะท้อนและยังบอกว่าเสียงสะท้อนนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเสียงของญาติมิตรเพียงหนึ่งเดียวที่ตนได้ยิน ธอโรรักธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง และเป็นสุขที่ได้อยู่ในอ้อมกอดอันวิเวกของธรรมชาติ จนทำให้เขากลายเป็นคนชังเมืองและชังผลงานอันน่าเศร้าสลดทุกอย่างที่พวกช่างฝีมือได้สร้างขึ้นมาให้เป็นข้าวของเครื่องใช้และบ้านเรือนที่พำนักของมนุษย์ ขวานนั้นเป็นสิ่งที่ตัดทำลายป่าที่เขารักลง "ขอบคุณพระเจ้า" ธอโรกล่าว "ที่มนุษย์ไม่สามารถตัดโค่นเมฆหมอกบนฟ้าลงได้ ด้วยเหตุว่ารูปทรงนานาได้ถูกขีดเขียนขึ้นบนผืนแผ่นดินสีน้ำเงิน ด้วยใยเมฆสีขาวนี้" มีพรรณไม้ดอกอยู่ชนิดหนึ่งซึ่งนักพฤาษศาสตร์ ถือว่าอยู่ในตระกูลเดียวกันกับดอกไม้ในฤดูคินหันต์ของเรา อันมีนามว่า "ไลฟ์ เอเวอร์ลาสติ้ง" (ชีวิตอมตะ) ในตระกูล Gnaphalium ซึ่งขึ้นงอกเงยอยู่บนหน้าผาอันสูงชันของเทือกเขาไทโรลีส ซึ่งนาน ๆ ครั้งจึงจะมีแพะชามัวร์บางตัวร่อนเร่ขึ้นไปถึง และพวกพรานซึ่งถูกความรักที่มีต่อหญิงคนรัก และความงามของมันยั่วยวนใจ มักจะปีนขึ้นไปเก็บ และบางครั้งก็ตกลงมาตายอยู่ข้างล่าง โดยมีดอกไม้นี้กำแน่นอยู่ในมือนักพฤกษศาสตร์เรียกดอกไม้นี้ว่า Gnaphalium Ieontopodium ทว่าชาวสวิสกลับเรียกขานกันว่า Edelweiss ซึ่งหมายถึง ความบริสุทธิ์สูงส่ง สำหรับข้าพเจ้าแล้วดูเหมือนว่าธอโรมีชีวิตอยู่ด้วยหวังจะเก็บดอกไม้ชนิดนี้ ซึ่งก็เป็นของเขาอยู่แล้วโดยชอบธรรม ขอบข่ายของสิ่งที่เขาได้ทำการค้นคว้าแสวงหาช่างกว้างใหญ่ไพศาลจนแทบจะเรียกได้ว่าต้องใช้เวลาชั่วนิรันดร์กาลทีเดียว ทว่าพวกเราก็มไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนเลยว่าเขาจะจากเราไปอย่างกะทันหันเช่นนี้ ซึ่งแม้แต่ประเทศชาติก็คงจะหารู้แม้แต่สักน้อยนิดไม่ว่าท่านได้สูญเสียบุคคลอันยิ่งใหญ่เพียงใดไปแล้ว เป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่งที่เขาจะต้องจากไปในท่ามกลางภารกิจที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เป็นภารกิจซึ่งไม่มีผู้ใดจะสามารถมาเติมต่อให้สำเร็จเสร็จสิ้นลงได้ นับเป็นโศกนาฏกรรมของดวงวิญญาณอันสูงส่งเช่นนี้ ที่ต้องจำพรากไปก่อนถึงเวลาอันควร ก่อนที่จะได้พิสูจน์ตนให้ผู้ที่เฝ้าดูอยู่ได้เห็นถึงแก่นแท้ภายในตัวตน ทว่าอย่างน้อยที่สุดก็คงมีตัวเขาที่พึงพอใจ ด้วยว่าดวงวิญญาณของเขาเหมาะที่จะดำรงอยู่ร่วมในทิพยสมาคมเท่านั้น เพราะในชั่วชีวิตสั้น ๆ ที่มีอยู่นั้น เขาก็ได้ใช้ความสามารถเท่าที่มีอยู่ในโลกนี้ไปแล้ว ดังนั้น ณ ที่ใดก็ตามอันเป็นสถานแห่งปรีชาญาณ ณ ที่ใดซึ่งเป็นที่พำนักแห่งคุณความดี ณ ที่ใดก็ตามอันเป็นที่พำนักแห่งความงาม ณ ที่นั้นดวงวิญญาณของเขาย่อมพบที่พำนัก * กัปตันจอห์น บราวน์ ผู้นำคนหนึ่งในการต่อสู้เพื่อให้มีการเลิกทาสก่อนสงครามเลิกทาส เป้ฯผู้นำในการจับอาวุธขึ้นสู้และเข้าโจมตีฮาร์เปอร์ เฟอรี่ เพื่อทำการปลดปล่อยทาสผิวดำ บราวน์ถูกจับกุม และถูกตัดสินประหารชีวิต ธอโรได้พบกับบราวน์ครั้งหนึ่งในเดือนมีนาคม 1857 และได้เขียนบันทึกถึงบราวน์ไว้ว่า "มีความกล้าหาญพอที่จะเผชิญหน้าเข้าขัดขวาง เมื่อประเทศชาติได้ทำการในสิ่งที่ผิด" ธอโรได้แสดงปาฐกถาสรรเสริญวีรกรรมของบราวน์ และหนึ่งเดือนหลังจากที่บราวน์ถูกแขวนคอ อีเมอร์สันได้กล่าวสดุดีวีรกรรมของกัปตันจอห์น บราวน์ไว้สั้นๆเช่นกัน ในระหว่างการพูดที่ฮาเล็ม และได้พูดอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 6 มกราคม 1860 ซึ่งได้มาตีพิมพ์เมื่อปี 1869 ในหนังสือชื่อ "เสียงสะท้อนจากฮาร์เปอร์ เฟอรี่" อีเมอร์สันได้กล่าวถึงบราวน์ไว้ว่า เป็นดุจดังนักบุญ เป็นบุคคลซึ่งเปี่ยมไปด้วย "จิตใจอันละเอียดอ่อนลึกซึ้ง ปราศจากความต่ำทารมใดๆโดยสิ้นเชิง เป็นผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่เพียงเพื่ออุดมคติ"
|