เรือนน้อยในร่มไม้

ที่นี่ปลอดภัย
ไม่มีใครเบียดเบียนใคร
แม้กระทั่งตัวเองก็รู้สึกปลอดภัย
และเป็นกันเองกับธรรมชาติ
อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน


ในบรรดาสิ่งที่เป็นศัตรูร้ายกาจที่สุดนั้น ไม่มีอะไรร้ายเท่ากับจิตที่ตั้งไว้ผิด และในบรรดาสิ่งที่เป็นมิตรผู้หวังดีที่สุดนั้น ก็ไม่มีอะไรมากเท่ากับจิตของตนเองที่ตั้งไว้ถูกต้อง พระพุทธเจ้าตรัสไว้เช่นนี้

ผมภาวนาธรรมบทนี้อยู่เงียบๆ ในใจ ไม่เพียรเพ่งเพื่อจะค้นหาความหมาย แต่ก็ไม่ผ่อนคลายที่จะทบทวนถ้อยคำซ้ำไปซ้ำมา

ตะวันคล้อยคล้ำจะย่ำเย็น ผมเดินเลาะเลี้ยวลึกเข้าไปในป่า ไปถึงทางที่ธารน้ำไหลผ่าน ใสสะอาดและเย็นชื่น เห็นทรายพูนเป็นสันสีทองอยู่ใต้น้ำ เงาในน้ำนี่หรือคือตัวผม เหมือนคนแปลกหน้า

จีวรสีรักคร่ำ ผมเผ้าและคิ้วหายไป

ผมไม่ได้เห็นหน้าตัวเอง มาเป็นแรมเดือนแล้ว ด้วยไม่จำเป็นต้องเห็น ไม่มีผมก็ไม่ต้องมีกระจก ล้างหน้าอาบน้ำเช็ดหัวเช็ดห้าเช็ดตัวแล้วก็แล้วกัน ไม่ต้องมีแป้งไม่ต้องมีหวี ห้าตาจึงเหลือแต่หน้าตาเดิมแท้ที่ไม่อาจดัดแปลงแต่ปรุงให้เป็นอื่นใดได้อีกเลย

ผมผละจากลำธาร เหมือนไม่อยากรบกวนอาการหลั่งรินแต่น้อยๆของสายน้ำใสในธารนั้น

ลุกเข้าไปจากทางเดิน มีเรือนกุฏิพระอยู่ห่างๆ ผมแวะเข้าไปยังหลังหนึ่ง เจ้าของกุฏิไม่อยู่ ขออนุญาตถือโอกาสนั่งพักสักหน่อยนะ

เรือนน้อยหลังนี้ โดดเดี่ยวอยู่บนลานดินแข็งเรียบสีน้ำตาลเตียนรื่น บริเวณลาดดินข้างกระไดครึ้มเขียวด้วยตะไคร่แผ่กว้างออกไปตามแนวหินที่ใครเอามาวางเรียงล้อมก้อนเล็กก้อนน้อยหลากสี ภายในบริเวณมีหินขาวก้อนใหญ่วางอนยู่ สีขาว สีเขียว สีน้ำตาลตัดกันเหมือนแกล้ง พื้นดินลาดลงไปอีกชั้น เป็นพื้นเตียนเด่น ตอไม้และหินตั้งไว้นั่งเล่น และตัวผมนี่เองที่นั่งอยู่ตรงนี้

ใต้ต้นไม้เล็กๆ เสียงลมพัดอยู่บนยอดไม้ใหญ่แล้วก็พร้อมใจกัน ผันลู่พรูร่างเหมือนจะสัพยอกท้าทาย นี่คือเสียงของป่าที่ผมเพิ่งได้ยินอย่างแท้จริง

ที่พื้นดิน ผีเสื้อป่าปีกกว้างเป็นคืบเากะสงบอยู่ใต้ร่มไม้นานๆก็จะผ่อนกระพือปีกใหญ่ๆ ช้าๆ เหมือนอาการทอดถอนใจ ขณะที่มดดำผู้ขยันเดินทั้งวัน ก็ยังเดินเหมือนรีบเร่งอยู่อย่างเงียบๆ มดดำตัวเล็กๆแต่มันก็โตกว่ามดชนิดอื่นๆ

ยิ่งเพ่งก็ราวกับแทบว่าจะคุยกับมันได้ในบัดนั้น อยากคุยกับผีเสื้อ มดดำ และยอดไม้ที่หยอกล้ออยู่กับลมระเริง

เจ้าสัตว์ตัวเล็กๆ เอ๋ย … เจ้าก็คงมีความรู้สึกรู้สม มีความทุกข์ร้อน และต้องหวาดระแวงภัยอยู่ตามประสาของเจ้าเช่นกันกับมนุษย์สินะ

เจ้ามีน้ำตาไหม หรือว่ามีแต่เสียงร้องครวญครางเท่านั้น เสียงร้องและน้ำตาที่เราไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน

ที่นี่ปลอดภัย ไม่มีใครเบียดเบียนใคร แม้กระทั่งตัวเอง ก็รู้สึกปลอดภัยและเป็นกันเองกับธรรมชาติยิ่งขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ต้นไม้ก็เหมือนจะเป็นเพื่อนกับเราอยู่อย่างนั้น เราคุยกับมันได้ทุกเวลา เพียงแต่เราให้ความสนใจ และรู้สึกกับมันให้เพียงพอเท่านั้น

แวบหนึ่ง ถ้อยคำที่พร่ำภาวนาก็ผุดขึ้นในจิต…"สิ่งที่เป็นมิตร ผู้หวังดีที่สุดนั้นก็ไม่มีอะไรมากเท่ากับจิตของตนเองที่ตั้งไว้ถูกต้อง.."

เรารู้สึกได้ถึงความเป็นมิตรที่อยู่รอบข้างขณะนี้ก็เพราะจิตของเรานั่นเอง

นี่หมายความว่า มันตั้งไว้ถูกต้องกระนั้นหรือ เคยมีบ้างเหมือนกันที่รู้สึกอึดอัด จิตดิ้นรนกระวนกระวาย เหมือนถูกขังอยู่ในเครื่องพันธนาการท่ามกลางความอิสระนี่เอง

ทำไมต้องมาอยู่อย่างนี้นะ ละทิ้งความสะดวกสบายมาสู่ชีวิตที่เรียบง่าย สันโดษ ละทิ้งการงาน และความก้าวหน้าทางโลกมาสู่ความว่างเปล่า ปลอดภาระ เรียบง่าย สันโดษ ว่างเปล่า และปลอดภาระจริงหรือ จิตเริ่มกระวนกระวาย อยากไปสู่ที่ที่มันเคยไป

นี่หมายความว่า มันตั้งไว้ผิดกระนั้นหรือ

รำลึกถึงบันทึกที่ลอกมาจาก จดหมายพุทธทาสถึงธรรมทาสในหนังสือ "ชีวิตและงานของท่านพุทธทาสภิกขุ" ท่านเขียนไว้ว่า

"เราตกลงใจกันแน่นอนแล้วว่ากรุงเทพฯ ไม่ใช่เป็นที่ที่จะค้นพบความบริสุทธ์ การถลำเข้าเรียนปริยัติธรรมทางเจือด้วยยศสักดิ์เป็นผลดีให้เรารู้สึกตัวว่าเป็นการก้าวผิดไปหนึ่งก้าว หากรู้ไม่ทันก็จะต้องก้าวต่อไปอีกหลายก้าว และยากที่จะถอนออกได้เหมือนบางคน จากการรู้สึกว่าก้าวผิดนั่นเอง ทำให้พบเงื่อนงำว่า ทำอย่างไรเราจะก้าวถูกด้วย"

"เราเดินตามโลกตั้งแต่นาทีที่เกิดมาจนถึงนาทีที่มีความรู้สึกนี้ ต่อไปนี้เราจะไม่เดินตามโลกและลาโลกไปค้นหาสิ่งที่บริสุทธิ์ตามรอยพระอริยะที่ค้นแล้วจนพบ"

"หากเราขืนเดินตามโลกและเป็นการเดินตามหลังโลก ตามหลังอย่างไม่มีเวลาทัน ถึงแม้ว่าเราจะได้เกิดอีกตั้งแสนชาติก็ดี"

"บัดนี้ เราจะไม่เดินตามหลังโลกอีกต่อไป จะอาศัยโลกสักแต่กาย ส่วนใจเราจะทำให้เป็นอิสระจากโลกอย่างที่สุด เพื่อเราจะได้พบความบริสุทธิ์ในขณะนั้น…"

สถานที่แห่งนี้อันมีนามว่า สวนโมกขพลาราม จึงเกิดขึ้นด้วยจิตที่ปรารภโดยนัยดั่งนี้ ของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ

และเป็นที่ที่ผมกำลังดั้นด้นค้นหาความเป็นอยู่และเป็นไปแห่งจิตของตัวเองอยู่ในขณะนี้


หน้าหลัก