บางตอนจาก
บทเพลงแห่งนกกางเขน

อุดม วิเศษสาทร

     งามแมกไม้ หุบผา ป่ากว้างใหญ่
งามขุนเขา ลำเนาไพร ชะโงกหิน
งามสายธาร สะอาดใส ไหลระริน
งามทุ่งถิ่น เขียวขจี มีมนตรา
     ฉันกางปีก ร่อนไป ในฟ้ากว้าง
ฉันแผ่หาง ล้อลม ชมพฤกษา
ฉันบรรเลง เพลงกางเขน ทุกเวลา
ฉันกล่อมโลก งามตา ให้ฝันดี...

     ขอ...ปลอบปลุก! ทุกเม็ดทราย ให้สั่นไหว
ขอปลอบปลุก! ทุกพงไพร พลิ้วไบขาน
ขอสายน้ำ กู่ขานไข ไปทุกธาร
ขอสายลม สื่อสืบสาน ฟ้องมวลชน

     ป่า...ใกล้ตาย! ภัยกระหน่ำ ห้ำหั่นฆ่า!
ป่าถ้วนหน้า เพลงโหมไหม้ ไร้หยดฝน
ป่าถูกรุก บุกโค่นเผา เขาทุกข์ทน
ป่าปี้ป่น โลกป่นปี้ นี่หรือคน!

     คืน...เถิดหนา หยุดเข่นฆ่า ป่าไพรพฤกษ์
คืนสำนึก มอบธารา ป่าอุ้มฝน
คืนฟ้าใส มอบนกกา ป่าปวงชน
คืนกมล โลกสดสวย ด้วยมือคน

     มอบ...บทเพลง กางเขนใหม่ ในโลกกว้าง
ให้...ปีกหาง กางร่อนไป ในทุกหน
มวล...พลัง หลั่งปลุกจิต สุจริตชน
ชีพ...แม้ป่น ขอโบกบิน จวบสิ้นใจ


บทเพลงแห่งนกกางเขน : การต่อสู้ของวีรบุรุษตัวเล็กๆกับหัวใจที่มืดบอด

มีความเชื่อ... ..ที่เชื่อกันว่า " ธรรมชาติมีความสมบูรณ์อยู่ในตัว "

แต่ มนุษย์ต่างหากที่ไปรบกวนการทำงานของธรรมชาติและก่อปัญหา "

จริงอยู่แม้ต่อมา มนุษย์จะทำงานกันอย่างหนักเพื่อพิชิตปัญหา

แต่กลับทำให้ปัญหาร้ายลง ทุกวันนี้ปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะปัญหาความเสื่อมโทรมทางนิเวศกำลังทวี ความรุนแรงขึ้นทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก ปัญหาดังกล่าวนี้แบ่งออกได้เป็น 2 แนวทางใหญ่ๆ แนวทางแรกได้แก่ ปัญหาที่เกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรมและสิ่งที่เรียกว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ปัญหาการสลายตัวของชั้นโอโซนในบรรยากาศ ปรากฏการณ์เรือนกระจกหรือมลพิษทางนิวเคลียร์หรือเคมี ส่วนอีกแนวทางหนึ่ง เป็นปัญหาทางด้านเกษตรกรรมในลักษณะที่ต่อต้านและทำลายธรรมชาติ เช่นการตัดไม้ทำลายป่า การพังทลายของดิน น้ำท่วม ฝนแล้งหรือการเกิดแผ่นดินที่เป็นทะเลทรายขึ้นใหม่เป็นต้น

"บทเพลงแห่งนกกางเขน" นวนิยายเพื่อป่าเขา แม่น้ำ แผ่นดิน และทุกชีวิตในโลกเป็นเจตจำนงของอุดมการณ์ ในการเรียนรู้และเข้าใจ "โลกแห่งธรรมชาติ" ในปัจจุบันว่ากำลังดำรงอยู่ในสถานะไหน ผ่านขบวนการของการรับรู้ การคิดและการแสวงหาด้วยประสบการณ์อันแท้จริง โดยนกกางเขนหนุ่มโทน ที่ต้องเกิดมาเป็นลูกโทนของพ่อแม่ เพราะไข่ฟองอื่นๆฟักไม่ขึ้นด้วยสาเหตุที่น่าเศร้าในว่าแม่ไปกินน้ำตามกระถางน้ำในบ้านของคนเมือง และน้ำพวกนั้นล้วนมีสารพิษที่อันตรายเจือปนอยู่โดยไม่มีใครได้ใส่ใจ... ..

นกกางเขนหนุ่มตัวนี้เติบโตมาพร้อมกับความคิดฝัน เติบโตมาพร้อมกับบทเพลงแห่งจินตนาการที่มุ่งมั่นในหัวใจ มุ่งมั่นที่จะแสวงหาความเป็นจริงแห่งบทเพลงที่บอกกล่าวถึงความงดงามแห่งป่าเขียวผืนใหญ่ สายธาร น้ำใส ทุ่งหญ้าสีเขียวและท้องฟ้าที่ใสสะอาด

"สิ่งเหล่านี้แท้จริงอยู่ที่ไหน จะพบเห็นได้เฉพาะตอนที่อยู่ในเปลือกไข่หรือหลับฝันถึงแค่นั้นหรือ?"

นกกางเขนหนุ่มเฝ้าถามตัวเอง นับแต่เริ่มรู้เดียงสา... ถามซ้ำๆกันถึงว่าบทเพลงแห่งนกกางเขนที่แสนงาม ซึ่งพ่อแม่และบรรดาเหล่ามวลพี่น้องรอบข้างเฝ้าโก่งคอร้องถึงทุกวันนั้น อยู่ที่ไหนเป็นความจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่ ความหลอกลวงที่ถูกบอกกล่าวเป็นภาพมายาต่อเนื่องกันมาอย่างงมงายเท่านั้น
ข้อสงสัยทั้งหมดทำให้นกกางเขนโทนตัวนี้ เริ่มมีความคิดที่จะพิสูจน์ให้ได้มาซึ่งความจริง เขาเริ่มฝึกบินด้วยความรู้สึกหาญกล้าด้วยปีกน้อยๆ ซึ่งไม่สามารถที่จะบินสูงหรือบินได้ไกลตามธรรมชาติดั่งอีกา หรือนกเหยี่ยว... .ฝึกความเข้มแข็งด้านกำลังขาที่แข็งแรงตามธรรมชาติที่ได้มาเพื่อการกระโดดโลดเต้น ฝึกการร้องเพลงแห่งนกกางเขนซึ่งเป็นเหมือนความฝันให้มีความหวัง และมีพลังของความเป็นจริง... .การกระทำของเขาถูกเฝ้ามองด้วยนกกางเขนรุ่นเก่าว่าเป็นขบถ เป็นการกระทำที่โง่เขลาและไร้ความหมาย แต่กำลังใจที่ได้รับจากพ่อที่สอนสั่งก็ทำให้นกกางเขนตัวน้อย กลายเป็นนกกางเขนโทนหนุ่ม ได้ค้นพบในสิ่งที่ตนมุ่งแสวงหา ผ่านปรากฏการณ์ธรรมชาติอันร้อนร้าย และผ่านการกระทำที่ไม่เข้าใจของสัตว์อันประเสริฐที่เรียกขานกันว่ามนุษย์... .ผู้เป็นเลิศในทุกสรรพสิ่ง

เมื่อเริ่มแสวงหา... .เขาได้ค้นพบว่าภายในเมืองที่เขาและครอบครัวอาศัยอยู่เต็มไปด้วยหมอกควันและฝุ่นละออง... .น้ำในลำคลองใหญ่ที่ลอดผ่านใต้รังเกือบแห้งขอด มีสีดำเป็นมันเลื่อม ขยะสกปรกหลากสีหลากชนิดทับถมกันอยู่ทั้งใต้น้ำและบนผิวน้ำ น้ำสีดำเหม็นจากท่อน้ำกำลังทะลักลงสู่ลำคลองอย่างต่อเนื่อง... .จากจุดนี้ทำให้เขาได้สืบค้นต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ได้พบฝูงสัตว์ป่ามากมายถูกกักขังไว้ในกรงไร้เสรีภาพใดใดในบ้านของเศรษฐีใหญ่... .ได้พบการแสดงที่เฝ้าคร่ำครวญถึงธรรมชาติ ด้วยฉากและภาพแสดงจำลองอย่างถวิลเทวษ ในโรงมหรสพ... ทั้งสอง แห่งที่ได้ค้นพบมีเหตุผลของการกระทำที่น่ายกย่อง แต่ขัดแย้งในการกระทำว่า เพราะ "รักธรรมชาติ... เพราะคิดถึงธรรมชาติ" แท้ๆ

นกกางเขนหนุ่มโดยเนื้อแท้เป็นเหมือนเพียงชาวสวนที่ช่วยดูแลจัดแต่งสวนให้สะอาดด้วยจงอยปากที่แหลมคม กับเพียงเป็นผู้ช่วยร้องเพลงกล่อมโลกด้วยบทเพลงแห่งนกกางเขนอันสดใสและเต็มไปด้วยความคิดฝัน แต่ทั้งหมดนั้นเป็นภาวะที่ซ้ำซากที่จำเจ... .บทเพลงแห่งนกกางเขนจึงกลายเป็นเหมือนความหลอกลวงในทัศนะของนกกางเขนโทนหนุ่ม... หากสาระทั้งหมดนั้นจะไม่ได้รับการพิสูจน์ให้เป็นจริงด้วยความเชื่อและศรัทธา... เขาเชื่อว่า ณ โค้งฟ้าเบื้องหน้าโลกแห่งธรรมชาติที่เป็นธรรมชาติอันสมบูรณ์จะรออยู่ที่นั่น... การตัดสินใจบินของกางเขนโทนหนุ่มสู่โค้งฟ้าเบื้องหน้าทำให้เขาได้พบบทพิสูจน์อันแท้จริงของชีวิต... เมื่อเริ่มต้นมุ่งสู่ป่าผ่านยอดเขาหนึ่งไปสู่อีกยอดเขาหนึ่ง เพียงการเริ่มต้น เขาก็ได้รับการเยาะเย้ยถากถางว่าเป็นนกกางเขนที่มีการกระทำอันโง่เง่าไร้สติ ไร้เหตุผล... แต่เขาก็น้อมรับคำสบประมาทเหล่านั้นเอามาเสริมเป็นพลัง จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาก็ได้รับบาดเจ็บจนขาข้างซ้ายต้องพิการจาก "พรานล่านกป่า" ซึ่งตั้งใจจะฆ่าเขาเหมือนนกเคราะห์ร้ายอีกหลายๆตัวในกำมือของพวกเขา ... .นกกางเขนโทนหนุ่มผวาปีกที่จะบินหนี แต่เขากลับถูกกิ่งไผ่ซึ่งรับเคราะห์ถูกกระสุนปืนแทน... หักฟาดเอาจนกลายเป็น"นกพิการ"
แต่แม้ร่างกายจะพิการแต่ใจของเขาหาได้พิการตามไปด้วยไม่... .เหตุการณ์ตรงนี้เป็นจุดหักเหที่สำคัญของเรื่อง... เป็นการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวของกางเขนโทนหนุ่มที่จะบุกบินไปข้างหน้า ให้พบกับความคิดฝันอันเนิ่นนานของตนร่วมกับกางเขนสาวที่เข้ามาช่วยเหลือเอื้ออาทรในตอนที่เขาขาหัก... กางเขนหนุ่มสาวต่างตัดสินในบินต่อไปข้างหน้าอย่างหาญกล้า แม้จะยากลำบาก แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะหยุดยั้งการกระทำของพวกเขาทั้งสองได้ บนเส้นทางแสวงหาของเขาทั้งสอง เขาได้พบกับปรากฏการอันเนื่องมาแต่พฤติกรรมของสัตว์ประเสริฐที่เรียกขานกันว่ามนุษย์ซึ่งขัดแย้งกันหลายๆอย่าง มนุษย์บางหมู่เหล่าเต็มไปด้วยความโหดร้ายต่อโลกแห่งธรรมชาติอย่างไร้สาเหตุ พวกเขาไล่จับหนูเพียงตัวหนึ่งด้วยการเผาป่าปิดล้อม... ป่าถูกไฟไหม้ลุกลามขยายกว้างไปใหญ่โต แต่มีเพียงหน่วยผจญไฟป่าเพียงไม่กี่คนที่ได้ทำการป้องกัน ต่อสู้ตามหน้าที่อย่างแข็งขันตั้งใจ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องตายไปในกองเพลิงอย่างไร้ค่า และไร้ร่องรอย...
ยิ่งบินผ่านไปและผ่านไป... สิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นความคิดฝันมาแต่กำเนิดก็ยิ่งห่างไกลออกไปทุกที... พวกเราได้เห็นการ"กานต้นไม้" ด้วยการเอาดินประสิวยัดใส่ลงไปในโพรงต้นไม้ตัดทางเดินอาหาร จนที่สุดก็ต้องยืนตายกันไปทั่ว กลายสภาพจากป่าสมบูรณ์กลายเป็นป่าเสื่อมโทรม และถูกตัดไปแปรรูปขายเป็นไม้ที่ถูกกฏหมายไปในที่สุด ทั้งๆที่เบื้องหลังกฏหมายที่ถูกต้องนั้นคือ การลักลอบทำลายสมดุลแห่งธรรมชาติจนยับเยิน... ยับเยินจนเกิดการน้ำท่วมป่าด้วยกระแสน้ำป่าอันเชี่ยวกราก... รวดเร็ว รุนแรง และโหดร้ายโดยปราศจากต้นไม้ใหญ่อันถือเป็นเกราะป้องกันธรรมชาติไว้คอยป้องกัน... .พวกเขาได้เห็นซากสัตว์ป่า หรือแม้กระทั่งสัตว์ประเสริฐผู้โชคร้ายลอยตายมาตามกระแสน้ำ ไม่เว้นแม้แต่ "อีกา" สัตว์ที่แข็งแรงและบินได้เร็วที่สุดก็ต้องจบชีวิตลงด้วยพายุร้าย ที่โหมกระหน่ำเข้าทำลายก่อนที่สายฝนและลูกเห็บจะตกลงมาอย่างบ้าคลั่ง เป็นน้ำป่าที่ไหลเข้าพิพากษาวิถีชีวิตของเหล่าผู้ทำลาย ทั้งหลายจนหมดสิ้น
ในขณะที่ความผิดหวังครั้งใหญ่ได้เกิดขึ้นในหัวใจของนกกางเขนหนุ่มสาวทั้งสอง... พวกเขาก็ได้พบกับความงดงามที่เข้ามาปลอบประโลมใจด้วยลูกมนุษย์ ตัวเล็กๆที่ถูกครูสอนให้ปลูกต้นไม้และมีความรักต่อต้นไม้... แม้ว่าครูของพวกเขาก็ยังมีความไม่แน่ใจในการกระทำที่ตัวเองได้สอนสั่งลูกศิษย์ แต่กับนกกางเขนหนุ่มสาว... พวกเขากลับมีความหวังเป็นประกายเกิดขึ้นในจิตใจ พวกเขาเชื่อว่าหากมนุษย์อันประเสริฐได้ทำความดีเพื่อธรรมชาติเพื่อป่าเขา โลกธรรมชาติจะกลับมาสมดุลได้... ยิ่งเมื่อพวกเขาได้พบกับกลุ่มมนุษย์หนุ่มสาวที่มีความรู้อย่างดี ในเรื่องแห่งวิถีของธรรมชาติที่มุ่งมั่นจะไปให้ถึงโค้งฟ้า ไปพบกับธรรมชาติอันสมบูรณ์ในความจริงแห่งความฝันเยี่ยงพวกเขา พวกเขาก็ยิ่งมั่นใจขึ้น มีพลังขึ้นแม้จะผ่านการบาดเจ็บและท้อแท้สิ้นหวังมาก่อนก็ตาม

พวกเขามุ่งสู่ป่าผืนใหญ่... ตรงโค้งฟ้า มุ่งสู่ความสมบูรณ์แบบแห่งความฝัน แต่แล้วพวกเขาก็ได้ยินเสียงเครื่องจักรกล ได้พบเห็นการตัดไม้ต้นใหญ่ ได้เห็นการขนไม้โดยรถบรรทุกหนัก ได้เห็นการต่อสู้ของมนุษย์พิทักษ์ป่าเพียงสามคนที่ต่อสู้กับขบวนการตัดไม้ทำลายป่าเป็นกองทัพ พวกเขาถูกฆ่าตาย และถูกฝังเป็นปุ๋ยธรรมชาติ... เหนือหลุมศพที่ถูกกลบฝังอย่างไร้ร่องรอยหลุมศพของพวกเขาถูกปลูกทับด้วยต้นไม้ต้นใหม่... กลบความผิดบาปและเลวร้ายในดินแดนอันห่างไกลที่มนุษย์มีต่อมนุษย์... ที่มนุษย์กระทำต่ออุดมการณ์ของมนุษย์ด้วยกัน

ภาพเหตุการณ์ดังกล่าว... ทำให้นกกางเขนหนุ่มผู้พิการ... ผู้แสวงหาความงดงามภายใต้พื้นฐานแห่งความเป็นจริงของโลกธรรมชาติมาทั้งชีวิตต้องกรีดเสียงร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง มันเป็นเสียงแห่งจิตวิญญาณเบื้องลึกที่ปะทุออกมาเพื่อปลุกเร้า ให้สรรพสัตว์ทุกตัวตนบนโลกนี้ได้ตระหนักถึงเภทภัยของชีวิต ที่ครอบคลุมร่างกายและจิตวิญญาณของพวกเขาอยู่ แต่พวกเขากลับไม่ยอมรับรู้ไม่ยอมเข้าใจ

แน่นอนที่สุด... การทำลายโลกแห่งธรรมชาติเป็นความชั่วร้ายแต่การที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งบนโลกนี้ ไม่ยอมคิดถึงสิ่งดังกล่าวทั้งๆที่รู้หรือด้วยการไม่รับรู้... ถือเป็นความชั่วร้ายที่ยิ่งใหญ่กว่ามากนัก "อุดม วิเศษสาธร" สร้างเนื้อหาสาระของบทเพลงแห่งนกกางเขนด้วยอุดมการณ์อันล้ำลึกจากประสบการณ์ตรง ในฐานะของผู้มีหน้าที่ในการรับผิดชอบในการปลูกป่า... เรื่องราวของเขาเป็นการเปิดเปลือยและสะท้อนถ่ายทางด้านวิญญาณ ผ่านบทเพลงแห่งนกกางเขนอันงดงาม... นกกางเขนที่มีสีขนเป็นสีขาวดำอันหมายถึงความชั่วร้ายและความดีงาม... ความทุกข์โศกและความหวัง... ด้วยสายตาที่อยู่ในระดับสูงและมองออกไปไกลโพ้น

"กางเขนหนุ่มยอมรับอย่างขมขื่น เหลียวมองป่ากว้างใหญ่สุดสายตา รู้สึกตัวว่าช่างเล็กนิดเดียว ปราศจากความหมายเหมือนเม็ดกรวดทราย เมื่อเปรียบเทียบกับธรรมชาติที่กว้างใหญ่รอบๆตัว ผืนป่า ทิวเขา แผ่นฟ้า... มันนิ่งอึ้งต่อความยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตของธรรมชาติและขอบเขตอันจำกัดแห่งความเป็นกางเขน"

การแสวงหาของกางเขนโทนหนุ่มทำให้เขาได้ข้อสรุปของความจริงที่ขมขื่นว่า... ในท่ามกลางความคิดฝันที่ดีงามถึงธรรมชาติ...

"น่าเสียดายอย่างยิ่ง ที่กำแพงธรรมชาติ นอกจากจะไม่สามารถปกป้องผืนป่าในอ้อมกอดได้แล้ว ยังกลับกลายเป็นกำแพงปกปิดซ่อนเร้น การเข่นฆ่าทำลายป่าใหญ่... โดยสัตว์ผู้เป็นเลิศในทุกทาง ที่เรียกกันว่ามนุษย์ ให้รอดพ้นจากสายตาภายนอกอันสิ้นเชิง"

ดูเหมือนว่าแม้ความเป็นจริงแห่งโลกธรรมชาติที่เกิดขึ้นจะมีบทสรุปเป็นความขมขื่นที่เศร้าสลด ไร้ความหวัง... ไร้อุดมการณ์ แต่... อุดม วิเศษสาธร... กลับจบงานเขียนของเขาอย่างเต็มไปด้วยอุดมการณ์และความหวัง... แม้นกกางเขนหนุ่มจะจบบทบาทของตนลง พร้อมกับความพิการที่พ่ายแพ้ แต่เสียงแห่งประสบการณ์ที่กู่ตะโกนขึ้นในสิ่งที่พบเห็น ก็น่าจะสามารถปลุกเร้าให้ผู้ที่ได้ยินเสียงได้เพ่งพินิจึถึงสิ่งที่ได้ยินอย่างมีความหมาย... เขาเชื่อในอำนาจแห่งพลังของคนหนุ่มสาวที่จะลุกขึ้นมาปกป้องธรรมชาติ เพื่อที่จะให้มันยืนหยัดอยู่ได้ด้วยจิตวิญญาณบริสุทธิ์พอๆกับที่เขายังเชื่อว่า
"ลูกไม้ป่าจากการรักษาบาดแผลของป่าโดยธรรมชาติจะผลิใบเขียวสด ลำต้นอวบอ้วนจะแผ่กิ่งก้านตระหง่านขึ้นสู่ท้องฟ้าสีคราม ต้นกล้าไม้ป่าที่ปลูกโดยมือของผู้คนที่เอื้ออาทรเปี่ยมสำนึกจะเติบโตขึ้นเบียดเสียดเขียวครึ้ม สัตว์ป่าจะร่าเริง ก้าวย่าง ดอกไม้ป่าจะผลิบาน จะเซ็งแซ่แมลงกรีดปีก เหล่านกขับขานเพลงไพร"

"บทเพลงแห่งนกกางเขน" ถือเป็นนวนิยายที่ถูกปลูกสร้างขึ้นด้วยอุดมการณ์ของจิตวิญญาณ... ถูกปลูกสร้างขึ้นด้วยการมุ่งหวังที่จะเอื้อประโยชน์ต่อสังคม ทั้งในส่วนของโลกแห่งธรรมชาติและโลกแห่งชีวิต... สาระเรื่องราวทั้งหมดเต็มไปด้วยความตั้งใจที่จะเปิดเผยถึคงความจริงแห่งการทำลายล้างด้วยน้ำมือของมนุษย์ ผสมผสานเข้ากับความหวังที่จะเห้นการโอบอุ้มแก้ไขการทำลายด้วยน้ำมือมนุษย์เช่นเดียวกัน... ภาพแสดงทั้งหมดจะสื่อผ่านออกมาเป็นรหัสนัย ดุจสีขาวและสีดำที่มีพลังอำนาจแตกต่างกันอย่างรุนแรงในความรู้สึกของความเป็นจริงที่แท้

ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าจุดมุ่งหวังในการนำเสนอของอุดม วิเศษสาธร นั้นมีสูงยิ่ง... และก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธได้เช่นเดียวกันว่า นวนิยายเรื่องนี้ สมควรอย่างยิ่งที่จะไดรับรางวัลดีเด่นประเภทบันเทิงคดีสำหรับเด็กก่อนวัยรุ่นมาแล้ว เพราะนั่นคือกลุ่มเป้าหมายคือหน่อเชื้ออันเป็นความหวังที่จะสานต่ออุดมการณ์ของโลกแห่งธรรมชาต ิให้เชื่อมต่อเป็นสมดุลกับโลกแหงชีวิตอย่างเต็มตัวในอนาคต

ในทัศนะของผม... ผมถือว่านวนิยายเรื่องนี้มีคุณค่าในทางเนื้อหาผ่านวัตถุดิบในการนำเสนอเป็นอย่างยิ่ง... ไม่มีอะไรที่จะยิ่งใหญ่เท่าประสบการณ์ส่วนตนของมนุษย์ที่ถูกนำมาเปิดเผยด้วยคุณค่าของศรัทธา
อุดม วิเศษสาธร สะท้อนภาพแสดงและภาพความคิดของ "วีรบุรุษตัวน้อยๆออกมาได้อย่างชัดเจนหมดจด ... เพียงแต่ว่าภาพในเชิงอุดมการณ์ที่เขานำเสนอไม่อาจที่จะลงไปในรากลึกของความรู้สึกได้ดีเท่าภาพแห่งความเป็นจริง ด้วยข้อติดขัดทางด้านวรรณศิลป์ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนอันสำคัญของนักเขียนผู้นี้ในฐานะผู้เล่าเรื่อง (Story Teller) โดยเฉพาะการเล่าเรื่องในเชิงจินตนาการ ที่ขาดเชิงชั้นและวิธีการที่จะสร้างความแนบเนียนแห่งลีลาทางวรรณศิลป์ เหตุนี้ความประดักประเดิดจึงเกิดขึ้นหลายๆครั้ง โดยเฉพาะในช่วงตอนที่เต็มไปด้วยพลังแรงแห่งอุดมการณ์หรือแก่นแท้อันสำคัญของ"บทเพลงแห่งนกกางเขน" อันเป็นนัยสูงสุดที่ต้องตีความกันอย่างลึกซึ้งและด้วยอารมณ์คล้อยตาม... ผมคิดว่าการนำเสนอบางตอนด้วยภาษาร้อยแก้วอันสละสลวย ผ่านกระแสสำนึกอันลุ่มลึกด้านในน่าจะใช้ได้ผลกว่าการใช้บทร้อยกรองที่ดูมีกรอบจำกัด ทางด้านอารมณ์ที่แท้จริง ให้กลายเป็นภาวะอารมณ์ที่ดูเป็นการปรุงแต่งไปอย่างน่าเสียดายที่สุด
อย่างไรก็ตาม... ผมถือว่าด้วยการมีชีวิตอยู่กับโลกที่เป็นองค์รวม "บทเพลงแห่งนกกางเขน" เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่มีค่าต่อความเข้าใจร่วมกันของการปลูกสร้าง "ธรรมมิกสังคม" สังคมแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลในธรรมชาติ ปราศจากการทำลายซึ่งกันและกัน... สังคมที่จะคอยบอกกับเราว่า ทุกสิ่งทุกอย่างต้องปล่อยให้เป็นไปตามครรลองของธรรมชาติ เพราะเป้าหมายสูงสุดแห่งโลกของความเป็นธรรมชาตินั้น ไม่ใช่การเพาะปลูกพืชผล แต่คือ... การบ่มเพาะความสมบูรณ์แห่งความเป็นมนุษย์ให้เกิดขึ้นมา
"เสียงเลื่อยยนต์หยุดลง... ต้นไม้ยักษ์ล้มฟาดปะทะต้นไม้ข้างเคียงหลากหลายชนิด เสียงแตกหัก เสียงโครมครามขณะลำต้นมโหฬารฟาดพื้น แผ่นดินสั่นสะเทือนไหวเยือก
กลุ่มคนเหล่านั้น ตะโกนลิงโลดพร้อมๆกัน บางคนกระโดดตัวลอย บางคนกระโดดโลดเต้นไปรอบๆสัญชาตญาณแห่งการรังแก การทำลายล้างของพวกเขาได้บรรลุจุดสุดยอดแห่งหัวใจมืด... ... ในขณะที่วิญญาณป่า ถูกสะกดให้เงียบงัน สยดสยองสิ้นหวังและโดดเดี่ยว"

สกุล บุญทั