|
บทเพลงแห่งนกกางเขน : การต่อสู้ของวีรบุรุษตัวเล็กๆกับหัวใจที่มืดบอด
มีความเชื่อ... ..ที่เชื่อกันว่า " ธรรมชาติมีความสมบูรณ์อยู่ในตัว "
แต่ มนุษย์ต่างหากที่ไปรบกวนการทำงานของธรรมชาติและก่อปัญหา "
จริงอยู่แม้ต่อมา มนุษย์จะทำงานกันอย่างหนักเพื่อพิชิตปัญหา
แต่กลับทำให้ปัญหาร้ายลง ทุกวันนี้ปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะปัญหาความเสื่อมโทรมทางนิเวศกำลังทวี ความรุนแรงขึ้นทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก ปัญหาดังกล่าวนี้แบ่งออกได้เป็น 2 แนวทางใหญ่ๆ แนวทางแรกได้แก่ ปัญหาที่เกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรมและสิ่งที่เรียกว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ปัญหาการสลายตัวของชั้นโอโซนในบรรยากาศ ปรากฏการณ์เรือนกระจกหรือมลพิษทางนิวเคลียร์หรือเคมี ส่วนอีกแนวทางหนึ่ง เป็นปัญหาทางด้านเกษตรกรรมในลักษณะที่ต่อต้านและทำลายธรรมชาติ เช่นการตัดไม้ทำลายป่า การพังทลายของดิน น้ำท่วม ฝนแล้งหรือการเกิดแผ่นดินที่เป็นทะเลทรายขึ้นใหม่เป็นต้น
"บทเพลงแห่งนกกางเขน" นวนิยายเพื่อป่าเขา แม่น้ำ แผ่นดิน และทุกชีวิตในโลกเป็นเจตจำนงของอุดมการณ์ ในการเรียนรู้และเข้าใจ "โลกแห่งธรรมชาติ" ในปัจจุบันว่ากำลังดำรงอยู่ในสถานะไหน ผ่านขบวนการของการรับรู้ การคิดและการแสวงหาด้วยประสบการณ์อันแท้จริง โดยนกกางเขนหนุ่มโทน ที่ต้องเกิดมาเป็นลูกโทนของพ่อแม่ เพราะไข่ฟองอื่นๆฟักไม่ขึ้นด้วยสาเหตุที่น่าเศร้าในว่าแม่ไปกินน้ำตามกระถางน้ำในบ้านของคนเมือง และน้ำพวกนั้นล้วนมีสารพิษที่อันตรายเจือปนอยู่โดยไม่มีใครได้ใส่ใจ... ..
นกกางเขนหนุ่มตัวนี้เติบโตมาพร้อมกับความคิดฝัน เติบโตมาพร้อมกับบทเพลงแห่งจินตนาการที่มุ่งมั่นในหัวใจ มุ่งมั่นที่จะแสวงหาความเป็นจริงแห่งบทเพลงที่บอกกล่าวถึงความงดงามแห่งป่าเขียวผืนใหญ่ สายธาร น้ำใส ทุ่งหญ้าสีเขียวและท้องฟ้าที่ใสสะอาด
"สิ่งเหล่านี้แท้จริงอยู่ที่ไหน จะพบเห็นได้เฉพาะตอนที่อยู่ในเปลือกไข่หรือหลับฝันถึงแค่นั้นหรือ?"
นกกางเขนหนุ่มเฝ้าถามตัวเอง
นับแต่เริ่มรู้เดียงสา... ถามซ้ำๆกันถึงว่าบทเพลงแห่งนกกางเขนที่แสนงาม ซึ่งพ่อแม่และบรรดาเหล่ามวลพี่น้องรอบข้างเฝ้าโก่งคอร้องถึงทุกวันนั้น
อยู่ที่ไหนเป็นความจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่ ความหลอกลวงที่ถูกบอกกล่าวเป็นภาพมายาต่อเนื่องกันมาอย่างงมงายเท่านั้น
ข้อสงสัยทั้งหมดทำให้นกกางเขนโทนตัวนี้ เริ่มมีความคิดที่จะพิสูจน์ให้ได้มาซึ่งความจริง
เขาเริ่มฝึกบินด้วยความรู้สึกหาญกล้าด้วยปีกน้อยๆ ซึ่งไม่สามารถที่จะบินสูงหรือบินได้ไกลตามธรรมชาติดั่งอีกา
หรือนกเหยี่ยว... .ฝึกความเข้มแข็งด้านกำลังขาที่แข็งแรงตามธรรมชาติที่ได้มาเพื่อการกระโดดโลดเต้น
ฝึกการร้องเพลงแห่งนกกางเขนซึ่งเป็นเหมือนความฝันให้มีความหวัง และมีพลังของความเป็นจริง...
.การกระทำของเขาถูกเฝ้ามองด้วยนกกางเขนรุ่นเก่าว่าเป็นขบถ เป็นการกระทำที่โง่เขลาและไร้ความหมาย
แต่กำลังใจที่ได้รับจากพ่อที่สอนสั่งก็ทำให้นกกางเขนตัวน้อย กลายเป็นนกกางเขนโทนหนุ่ม
ได้ค้นพบในสิ่งที่ตนมุ่งแสวงหา ผ่านปรากฏการณ์ธรรมชาติอันร้อนร้าย และผ่านการกระทำที่ไม่เข้าใจของสัตว์อันประเสริฐที่เรียกขานกันว่ามนุษย์...
.ผู้เป็นเลิศในทุกสรรพสิ่ง
เมื่อเริ่มแสวงหา... .เขาได้ค้นพบว่าภายในเมืองที่เขาและครอบครัวอาศัยอยู่เต็มไปด้วยหมอกควันและฝุ่นละออง... .น้ำในลำคลองใหญ่ที่ลอดผ่านใต้รังเกือบแห้งขอด มีสีดำเป็นมันเลื่อม ขยะสกปรกหลากสีหลากชนิดทับถมกันอยู่ทั้งใต้น้ำและบนผิวน้ำ น้ำสีดำเหม็นจากท่อน้ำกำลังทะลักลงสู่ลำคลองอย่างต่อเนื่อง... .จากจุดนี้ทำให้เขาได้สืบค้นต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ได้พบฝูงสัตว์ป่ามากมายถูกกักขังไว้ในกรงไร้เสรีภาพใดใดในบ้านของเศรษฐีใหญ่... .ได้พบการแสดงที่เฝ้าคร่ำครวญถึงธรรมชาติ ด้วยฉากและภาพแสดงจำลองอย่างถวิลเทวษ ในโรงมหรสพ... ทั้งสอง แห่งที่ได้ค้นพบมีเหตุผลของการกระทำที่น่ายกย่อง แต่ขัดแย้งในการกระทำว่า เพราะ "รักธรรมชาติ... เพราะคิดถึงธรรมชาติ" แท้ๆ
นกกางเขนหนุ่มโดยเนื้อแท้เป็นเหมือนเพียงชาวสวนที่ช่วยดูแลจัดแต่งสวนให้สะอาดด้วยจงอยปากที่แหลมคม
กับเพียงเป็นผู้ช่วยร้องเพลงกล่อมโลกด้วยบทเพลงแห่งนกกางเขนอันสดใสและเต็มไปด้วยความคิดฝัน
แต่ทั้งหมดนั้นเป็นภาวะที่ซ้ำซากที่จำเจ... .บทเพลงแห่งนกกางเขนจึงกลายเป็นเหมือนความหลอกลวงในทัศนะของนกกางเขนโทนหนุ่ม...
หากสาระทั้งหมดนั้นจะไม่ได้รับการพิสูจน์ให้เป็นจริงด้วยความเชื่อและศรัทธา...
เขาเชื่อว่า ณ โค้งฟ้าเบื้องหน้าโลกแห่งธรรมชาติที่เป็นธรรมชาติอันสมบูรณ์จะรออยู่ที่นั่น...
การตัดสินใจบินของกางเขนโทนหนุ่มสู่โค้งฟ้าเบื้องหน้าทำให้เขาได้พบบทพิสูจน์อันแท้จริงของชีวิต...
เมื่อเริ่มต้นมุ่งสู่ป่าผ่านยอดเขาหนึ่งไปสู่อีกยอดเขาหนึ่ง เพียงการเริ่มต้น
เขาก็ได้รับการเยาะเย้ยถากถางว่าเป็นนกกางเขนที่มีการกระทำอันโง่เง่าไร้สติ ไร้เหตุผล...
แต่เขาก็น้อมรับคำสบประมาทเหล่านั้นเอามาเสริมเป็นพลัง จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาก็ได้รับบาดเจ็บจนขาข้างซ้ายต้องพิการจาก
"พรานล่านกป่า" ซึ่งตั้งใจจะฆ่าเขาเหมือนนกเคราะห์ร้ายอีกหลายๆตัวในกำมือของพวกเขา
... .นกกางเขนโทนหนุ่มผวาปีกที่จะบินหนี แต่เขากลับถูกกิ่งไผ่ซึ่งรับเคราะห์ถูกกระสุนปืนแทน...
หักฟาดเอาจนกลายเป็น"นกพิการ"
แต่แม้ร่างกายจะพิการแต่ใจของเขาหาได้พิการตามไปด้วยไม่... .เหตุการณ์ตรงนี้เป็นจุดหักเหที่สำคัญของเรื่อง...
เป็นการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวของกางเขนโทนหนุ่มที่จะบุกบินไปข้างหน้า ให้พบกับความคิดฝันอันเนิ่นนานของตนร่วมกับกางเขนสาวที่เข้ามาช่วยเหลือเอื้ออาทรในตอนที่เขาขาหัก...
กางเขนหนุ่มสาวต่างตัดสินในบินต่อไปข้างหน้าอย่างหาญกล้า แม้จะยากลำบาก แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะหยุดยั้งการกระทำของพวกเขาทั้งสองได้
บนเส้นทางแสวงหาของเขาทั้งสอง เขาได้พบกับปรากฏการอันเนื่องมาแต่พฤติกรรมของสัตว์ประเสริฐที่เรียกขานกันว่ามนุษย์ซึ่งขัดแย้งกันหลายๆอย่าง
มนุษย์บางหมู่เหล่าเต็มไปด้วยความโหดร้ายต่อโลกแห่งธรรมชาติอย่างไร้สาเหตุ พวกเขาไล่จับหนูเพียงตัวหนึ่งด้วยการเผาป่าปิดล้อม...
ป่าถูกไฟไหม้ลุกลามขยายกว้างไปใหญ่โต แต่มีเพียงหน่วยผจญไฟป่าเพียงไม่กี่คนที่ได้ทำการป้องกัน
ต่อสู้ตามหน้าที่อย่างแข็งขันตั้งใจ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องตายไปในกองเพลิงอย่างไร้ค่า
และไร้ร่องรอย...
ยิ่งบินผ่านไปและผ่านไป... สิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นความคิดฝันมาแต่กำเนิดก็ยิ่งห่างไกลออกไปทุกที...
พวกเราได้เห็นการ"กานต้นไม้" ด้วยการเอาดินประสิวยัดใส่ลงไปในโพรงต้นไม้ตัดทางเดินอาหาร
จนที่สุดก็ต้องยืนตายกันไปทั่ว กลายสภาพจากป่าสมบูรณ์กลายเป็นป่าเสื่อมโทรม และถูกตัดไปแปรรูปขายเป็นไม้ที่ถูกกฏหมายไปในที่สุด
ทั้งๆที่เบื้องหลังกฏหมายที่ถูกต้องนั้นคือ การลักลอบทำลายสมดุลแห่งธรรมชาติจนยับเยิน...
ยับเยินจนเกิดการน้ำท่วมป่าด้วยกระแสน้ำป่าอันเชี่ยวกราก... รวดเร็ว รุนแรง และโหดร้ายโดยปราศจากต้นไม้ใหญ่อันถือเป็นเกราะป้องกันธรรมชาติไว้คอยป้องกัน...
.พวกเขาได้เห็นซากสัตว์ป่า หรือแม้กระทั่งสัตว์ประเสริฐผู้โชคร้ายลอยตายมาตามกระแสน้ำ
ไม่เว้นแม้แต่ "อีกา" สัตว์ที่แข็งแรงและบินได้เร็วที่สุดก็ต้องจบชีวิตลงด้วยพายุร้าย
ที่โหมกระหน่ำเข้าทำลายก่อนที่สายฝนและลูกเห็บจะตกลงมาอย่างบ้าคลั่ง เป็นน้ำป่าที่ไหลเข้าพิพากษาวิถีชีวิตของเหล่าผู้ทำลาย
ทั้งหลายจนหมดสิ้น
ในขณะที่ความผิดหวังครั้งใหญ่ได้เกิดขึ้นในหัวใจของนกกางเขนหนุ่มสาวทั้งสอง...
พวกเขาก็ได้พบกับความงดงามที่เข้ามาปลอบประโลมใจด้วยลูกมนุษย์ ตัวเล็กๆที่ถูกครูสอนให้ปลูกต้นไม้และมีความรักต่อต้นไม้...
แม้ว่าครูของพวกเขาก็ยังมีความไม่แน่ใจในการกระทำที่ตัวเองได้สอนสั่งลูกศิษย์
แต่กับนกกางเขนหนุ่มสาว... พวกเขากลับมีความหวังเป็นประกายเกิดขึ้นในจิตใจ พวกเขาเชื่อว่าหากมนุษย์อันประเสริฐได้ทำความดีเพื่อธรรมชาติเพื่อป่าเขา
โลกธรรมชาติจะกลับมาสมดุลได้... ยิ่งเมื่อพวกเขาได้พบกับกลุ่มมนุษย์หนุ่มสาวที่มีความรู้อย่างดี
ในเรื่องแห่งวิถีของธรรมชาติที่มุ่งมั่นจะไปให้ถึงโค้งฟ้า ไปพบกับธรรมชาติอันสมบูรณ์ในความจริงแห่งความฝันเยี่ยงพวกเขา
พวกเขาก็ยิ่งมั่นใจขึ้น มีพลังขึ้นแม้จะผ่านการบาดเจ็บและท้อแท้สิ้นหวังมาก่อนก็ตาม
พวกเขามุ่งสู่ป่าผืนใหญ่... ตรงโค้งฟ้า มุ่งสู่ความสมบูรณ์แบบแห่งความฝัน แต่แล้วพวกเขาก็ได้ยินเสียงเครื่องจักรกล ได้พบเห็นการตัดไม้ต้นใหญ่ ได้เห็นการขนไม้โดยรถบรรทุกหนัก ได้เห็นการต่อสู้ของมนุษย์พิทักษ์ป่าเพียงสามคนที่ต่อสู้กับขบวนการตัดไม้ทำลายป่าเป็นกองทัพ พวกเขาถูกฆ่าตาย และถูกฝังเป็นปุ๋ยธรรมชาติ... เหนือหลุมศพที่ถูกกลบฝังอย่างไร้ร่องรอยหลุมศพของพวกเขาถูกปลูกทับด้วยต้นไม้ต้นใหม่... กลบความผิดบาปและเลวร้ายในดินแดนอันห่างไกลที่มนุษย์มีต่อมนุษย์... ที่มนุษย์กระทำต่ออุดมการณ์ของมนุษย์ด้วยกัน
ภาพเหตุการณ์ดังกล่าว... ทำให้นกกางเขนหนุ่มผู้พิการ... ผู้แสวงหาความงดงามภายใต้พื้นฐานแห่งความเป็นจริงของโลกธรรมชาติมาทั้งชีวิตต้องกรีดเสียงร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง มันเป็นเสียงแห่งจิตวิญญาณเบื้องลึกที่ปะทุออกมาเพื่อปลุกเร้า ให้สรรพสัตว์ทุกตัวตนบนโลกนี้ได้ตระหนักถึงเภทภัยของชีวิต ที่ครอบคลุมร่างกายและจิตวิญญาณของพวกเขาอยู่ แต่พวกเขากลับไม่ยอมรับรู้ไม่ยอมเข้าใจ
แน่นอนที่สุด... การทำลายโลกแห่งธรรมชาติเป็นความชั่วร้ายแต่การที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งบนโลกนี้ ไม่ยอมคิดถึงสิ่งดังกล่าวทั้งๆที่รู้หรือด้วยการไม่รับรู้... ถือเป็นความชั่วร้ายที่ยิ่งใหญ่กว่ามากนัก "อุดม วิเศษสาธร" สร้างเนื้อหาสาระของบทเพลงแห่งนกกางเขนด้วยอุดมการณ์อันล้ำลึกจากประสบการณ์ตรง ในฐานะของผู้มีหน้าที่ในการรับผิดชอบในการปลูกป่า... เรื่องราวของเขาเป็นการเปิดเปลือยและสะท้อนถ่ายทางด้านวิญญาณ ผ่านบทเพลงแห่งนกกางเขนอันงดงาม... นกกางเขนที่มีสีขนเป็นสีขาวดำอันหมายถึงความชั่วร้ายและความดีงาม... ความทุกข์โศกและความหวัง... ด้วยสายตาที่อยู่ในระดับสูงและมองออกไปไกลโพ้น
"กางเขนหนุ่มยอมรับอย่างขมขื่น เหลียวมองป่ากว้างใหญ่สุดสายตา รู้สึกตัวว่าช่างเล็กนิดเดียว ปราศจากความหมายเหมือนเม็ดกรวดทราย เมื่อเปรียบเทียบกับธรรมชาติที่กว้างใหญ่รอบๆตัว ผืนป่า ทิวเขา แผ่นฟ้า... มันนิ่งอึ้งต่อความยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตของธรรมชาติและขอบเขตอันจำกัดแห่งความเป็นกางเขน"
การแสวงหาของกางเขนโทนหนุ่มทำให้เขาได้ข้อสรุปของความจริงที่ขมขื่นว่า... ในท่ามกลางความคิดฝันที่ดีงามถึงธรรมชาติ...
"น่าเสียดายอย่างยิ่ง ที่กำแพงธรรมชาติ นอกจากจะไม่สามารถปกป้องผืนป่าในอ้อมกอดได้แล้ว ยังกลับกลายเป็นกำแพงปกปิดซ่อนเร้น การเข่นฆ่าทำลายป่าใหญ่... โดยสัตว์ผู้เป็นเลิศในทุกทาง ที่เรียกกันว่ามนุษย์ ให้รอดพ้นจากสายตาภายนอกอันสิ้นเชิง"
ดูเหมือนว่าแม้ความเป็นจริงแห่งโลกธรรมชาติที่เกิดขึ้นจะมีบทสรุปเป็นความขมขื่นที่เศร้าสลด
ไร้ความหวัง... ไร้อุดมการณ์ แต่... อุดม วิเศษสาธร... กลับจบงานเขียนของเขาอย่างเต็มไปด้วยอุดมการณ์และความหวัง...
แม้นกกางเขนหนุ่มจะจบบทบาทของตนลง พร้อมกับความพิการที่พ่ายแพ้ แต่เสียงแห่งประสบการณ์ที่กู่ตะโกนขึ้นในสิ่งที่พบเห็น
ก็น่าจะสามารถปลุกเร้าให้ผู้ที่ได้ยินเสียงได้เพ่งพินิจึถึงสิ่งที่ได้ยินอย่างมีความหมาย...
เขาเชื่อในอำนาจแห่งพลังของคนหนุ่มสาวที่จะลุกขึ้นมาปกป้องธรรมชาติ เพื่อที่จะให้มันยืนหยัดอยู่ได้ด้วยจิตวิญญาณบริสุทธิ์พอๆกับที่เขายังเชื่อว่า
"ลูกไม้ป่าจากการรักษาบาดแผลของป่าโดยธรรมชาติจะผลิใบเขียวสด ลำต้นอวบอ้วนจะแผ่กิ่งก้านตระหง่านขึ้นสู่ท้องฟ้าสีคราม
ต้นกล้าไม้ป่าที่ปลูกโดยมือของผู้คนที่เอื้ออาทรเปี่ยมสำนึกจะเติบโตขึ้นเบียดเสียดเขียวครึ้ม
สัตว์ป่าจะร่าเริง ก้าวย่าง ดอกไม้ป่าจะผลิบาน จะเซ็งแซ่แมลงกรีดปีก เหล่านกขับขานเพลงไพร"
"บทเพลงแห่งนกกางเขน" ถือเป็นนวนิยายที่ถูกปลูกสร้างขึ้นด้วยอุดมการณ์ของจิตวิญญาณ... ถูกปลูกสร้างขึ้นด้วยการมุ่งหวังที่จะเอื้อประโยชน์ต่อสังคม ทั้งในส่วนของโลกแห่งธรรมชาติและโลกแห่งชีวิต... สาระเรื่องราวทั้งหมดเต็มไปด้วยความตั้งใจที่จะเปิดเผยถึคงความจริงแห่งการทำลายล้างด้วยน้ำมือของมนุษย์ ผสมผสานเข้ากับความหวังที่จะเห้นการโอบอุ้มแก้ไขการทำลายด้วยน้ำมือมนุษย์เช่นเดียวกัน... ภาพแสดงทั้งหมดจะสื่อผ่านออกมาเป็นรหัสนัย ดุจสีขาวและสีดำที่มีพลังอำนาจแตกต่างกันอย่างรุนแรงในความรู้สึกของความเป็นจริงที่แท้
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าจุดมุ่งหวังในการนำเสนอของอุดม วิเศษสาธร นั้นมีสูงยิ่ง... และก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธได้เช่นเดียวกันว่า นวนิยายเรื่องนี้ สมควรอย่างยิ่งที่จะไดรับรางวัลดีเด่นประเภทบันเทิงคดีสำหรับเด็กก่อนวัยรุ่นมาแล้ว เพราะนั่นคือกลุ่มเป้าหมายคือหน่อเชื้ออันเป็นความหวังที่จะสานต่ออุดมการณ์ของโลกแห่งธรรมชาต ิให้เชื่อมต่อเป็นสมดุลกับโลกแหงชีวิตอย่างเต็มตัวในอนาคต
ในทัศนะของผม...
ผมถือว่านวนิยายเรื่องนี้มีคุณค่าในทางเนื้อหาผ่านวัตถุดิบในการนำเสนอเป็นอย่างยิ่ง...
ไม่มีอะไรที่จะยิ่งใหญ่เท่าประสบการณ์ส่วนตนของมนุษย์ที่ถูกนำมาเปิดเผยด้วยคุณค่าของศรัทธา
อุดม วิเศษสาธร สะท้อนภาพแสดงและภาพความคิดของ "วีรบุรุษตัวน้อยๆออกมาได้อย่างชัดเจนหมดจด
... เพียงแต่ว่าภาพในเชิงอุดมการณ์ที่เขานำเสนอไม่อาจที่จะลงไปในรากลึกของความรู้สึกได้ดีเท่าภาพแห่งความเป็นจริง
ด้วยข้อติดขัดทางด้านวรรณศิลป์ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนอันสำคัญของนักเขียนผู้นี้ในฐานะผู้เล่าเรื่อง
(Story Teller) โดยเฉพาะการเล่าเรื่องในเชิงจินตนาการ ที่ขาดเชิงชั้นและวิธีการที่จะสร้างความแนบเนียนแห่งลีลาทางวรรณศิลป์
เหตุนี้ความประดักประเดิดจึงเกิดขึ้นหลายๆครั้ง โดยเฉพาะในช่วงตอนที่เต็มไปด้วยพลังแรงแห่งอุดมการณ์หรือแก่นแท้อันสำคัญของ"บทเพลงแห่งนกกางเขน"
อันเป็นนัยสูงสุดที่ต้องตีความกันอย่างลึกซึ้งและด้วยอารมณ์คล้อยตาม... ผมคิดว่าการนำเสนอบางตอนด้วยภาษาร้อยแก้วอันสละสลวย
ผ่านกระแสสำนึกอันลุ่มลึกด้านในน่าจะใช้ได้ผลกว่าการใช้บทร้อยกรองที่ดูมีกรอบจำกัด
ทางด้านอารมณ์ที่แท้จริง ให้กลายเป็นภาวะอารมณ์ที่ดูเป็นการปรุงแต่งไปอย่างน่าเสียดายที่สุด
อย่างไรก็ตาม... ผมถือว่าด้วยการมีชีวิตอยู่กับโลกที่เป็นองค์รวม "บทเพลงแห่งนกกางเขน"
เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่มีค่าต่อความเข้าใจร่วมกันของการปลูกสร้าง "ธรรมมิกสังคม"
สังคมแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลในธรรมชาติ ปราศจากการทำลายซึ่งกันและกัน...
สังคมที่จะคอยบอกกับเราว่า ทุกสิ่งทุกอย่างต้องปล่อยให้เป็นไปตามครรลองของธรรมชาติ
เพราะเป้าหมายสูงสุดแห่งโลกของความเป็นธรรมชาตินั้น ไม่ใช่การเพาะปลูกพืชผล แต่คือ...
การบ่มเพาะความสมบูรณ์แห่งความเป็นมนุษย์ให้เกิดขึ้นมา
"เสียงเลื่อยยนต์หยุดลง... ต้นไม้ยักษ์ล้มฟาดปะทะต้นไม้ข้างเคียงหลากหลายชนิด
เสียงแตกหัก เสียงโครมครามขณะลำต้นมโหฬารฟาดพื้น แผ่นดินสั่นสะเทือนไหวเยือก
กลุ่มคนเหล่านั้น
ตะโกนลิงโลดพร้อมๆกัน บางคนกระโดดตัวลอย บางคนกระโดดโลดเต้นไปรอบๆสัญชาตญาณแห่งการรังแก
การทำลายล้างของพวกเขาได้บรรลุจุดสุดยอดแห่งหัวใจมืด... ... ในขณะที่วิญญาณป่า
ถูกสะกดให้เงียบงัน สยดสยองสิ้นหวังและโดดเดี่ยว"
สกุล บุญทั