![]() Humour in Literature |
||
วารสารอักษรศาสตร์
ปีที่ 11 ฉบับที่ 1 มกราคม 2522.
อำภา โอตระกูล * บทคัดย่อ Groteske คือลักษณะการแสดงออกทางศิลปะในรูปแบบที่แปลกประหลาด พิลึกพิลั่น ผิดธรรมชาติ ทางวรรณคดี ลักษณะดังกล่าวเห็นได้ชัดในเรื่องประเภทล้อเลียน ประชดประชันสังคม หรือตลกชวนหัว นักเขียนสมัยใหม่นิยมเขียนเรื่องแบบโกรเทสก์ เพราะมีความเห็นว่าโลกสมัยใหม่เป็นโลกพิสดารในที่นี้ได้ยกบทละครเรื่อง "การมาเยือนของหญิงชรา" (Der Besuch der alten Dame) ของฟรีดริช ดืรเรนมัตต์ (Friedrich D?rrenmatt) นักเขียนที่มีชื่อของสวิสในสมัยปัจจุบัน ขึ้นมาวิเคราะห์ศึกษาลักษณะดังกล่าว อาจสรุปได้ว่า ลักษณะโกรเทสก์ จะเกิดขึ้นเมื่อมีการขยายความให้เกินเลยจนเหลือเชื่อ เมื่อมีการจัดของต่างเภทต่างพันธุ์มารวมกันให้ดูผิดปกติผิดธรรมชาติ ก่อให้เกิดสภาพขัดแย้ง เช่น ตลกน่าขำ ปนน่าสมเพช อยากจะหัวเราะและร้องไห้ในเวลาเดียวกันเป็นต้น คำ die Groteske หรือ grotesk
ในภาษาเยอรมัน หรือ grotesque ในภาษาอังกฤษและในภาษาตะวันตกอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกัน
เป็นศัพท์ทางศิลปและวรรณคดีที่มีต้นกำเนิดมาจากคำ La grotesca และ grotesco
ในภาษาอิตาเลียน ซึ่งเริ่มเป็นที่รู้จักกันในศตวรรษที่ 15 หมายถึงลักษณะลวดลายการตกแต่งห้องดังที่ปรากฏในอุโมงค์เก็บศพและห้องใต้ดิน
(Grotten) ของพระราชวังโบราณที่ขุดค้นพบเมื่อศตวรรษที่ 15 ประกอบด้วยภาพวาดประดับฝาผนังที่มีลวดลายเป็นเครือเถา
ปะปนด้วยสัตว์รูปร่างแปลกประหลาด (Groteske) ลักษณะดังกล่างวได้รับการฟื้นฟูเป็นที่นิยมแพร่หลายต่อมาดังเช่นงานตกแต่งของสมัย
Renaissance และสมัย Barock ( 1600-1750) ทางด้านจิตรกรรม ลักษณะที่เรียกว่าโกรเทสก์ คือภาพที่เสนอในลักษณะขยายส่วนจนดูใหญ่โตมหึมา จัดสิ่งที่ไม่ควรจะเข้ากันมาอยู่ด้วยกันโดยแปลงรูปร่างให้ผิดปกติในรูปแบบที่แปลกประหลาดผิดรูปผิดร่าง ผิดธรรมชาติในโลกของความเป็นจริง มองดูออกจะไม่สบายตา พูดง่ายๆว่ามีลักษณะแปลกพอกล พิลึกพิลั่น ตัวอย่างเช่น ภาพของ H. Bosch (1450-1516) หรือภาพของกลุ่ม Surrealismus เช่นภาพของ S. Dali (เกิด 1904) และของ Max Ernst (เกิด 1891) เป็นต้น ภาพส่วนใหญ่ของถวัลย์ ดัชนี ก็อาจจัดเข้าอยู่ในประเภทเดียวกันได้ ทางด้านศิลปการประพันธ์ ลักษณะโกรเทสก์ เริ่มปรากฏให้เห็นชัดเมื่อศตวรรษที่ 16 ในรูปของเรื่องล้อเลียนแบบประชดประชัน (Satire) ดังเช่นงานของ Johannes Fischart (1546-1590) หรือ F. Rabelais (1494-1553) ของฝรั่งเศส ส่วนในสมัยโรมันติค (1798-1830) ลักษณะโกรเทสก์แสดงออกในรูปเรื่องลึกลับ เขย่าขวัญ น่ากลัว ประกอบด้วยอำนาจลี้ลับเหนือมนุษย์ แยกไม่ออกระหว่างโลกของความจริงและความไม่จริงเช่นเรื่องของ E.T.A. Hoffmann หรือเรื่องชวนขันประเภทโหดร้ายต่อความรู้สึกจนหัวเราะไม่ออกของ Wilhelm Busch โดยทั่วไปจนถึงปัจจุบันนักเขียนนิยมใช้วิธีการแบบ โกรเทสก์ เขียนเรื่องประเภทเสียดสีวิจารณ์สังคม ระบบการเมือง การปกครอง และความไม่เสมอภาคต่างๆในสังคม ทั้งนี้เพราะนักเขียนต่างมีความรู้สึกว่าโลกและสังคมมนุษย์ในสภาวะปัจจุบันมีลักษณะไม่สมประกอบ ไม่ได้สัดส่วน ผิดธรรมชาติ พิลึกกึกกือ น่าเกลียด น่าสมเพช คือ โกรเทสก์นั่นเอง งานของนักเขียนสำคัญๆล้วนออกมาในรูปนี้ เช่น F. Kafka (1883-1924), B. Brecht (1898-1956) , G?nter Grass (1927--- ) , Max Frisch (1911----) , F. D?rrenmatt (1921----) การศึกษาเรื่อง โกรเทสก์ โดยทั่วไปมีทำไว้อย่างกว้างขวาง แต่ในส่วนสัมพันธ์กับวรรณคดีสมัยใหม่ยังมีไม่มากนัก ในที่นี้จะขอนำบทละครที่มีชื่อของฟรีดริช ดืรเรนมัตต์เรื่อง "การมาเยือนของหญิงชรา" มาเป็นตัวอย่างวิเคราะห์ลักษณะ Groteske เพื่อชี้ให้เข้าใจถึงลักษณะดังกล่าวชัดเจนยิ่งขึ้น เนื้อเรื่องย่อของละครเรื่อง "การมาเยือนของหญิงชรา" มีดังนี้ คลาร่า มหาเศรษฐีนีหญิงชรา เดินทางมาเยี่ยมเมืองกูลเลน เมืองเกิด ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ที่ยากจนมาก พวกชาวเมืองต่างตื่นเต้นหวังจะได้เงินบริจาคจากเธอในฐานะลูกบ้านกูลเลนเก่าแตาปรากฏว่า คลาร่ามาด้วยจุดประสงค์อื่น คือเธอต้องการมาเอาชีวิตอิล ชายผู้เคยเป็นคู่รักของเธอในวัยสาว ผู้สร้างความเจ็บช้ำให้กับเธอด้วยการสร้างพยานเท็จไม่รับรู้ถึงความสัมพันธ์ของเขาต่อเธอและไปแต่งงานกับหญิงอื่นที่มีฐานะดีกว่า ทั้งยังปฏิเสธหญิงในครรภ์ว่าไม่ใช่ลูกของเขา จนเธอต้องได้รับความเสื่อมเสีย ถูกขับไล่ออกจากเมือง เมื่อเธอกลับมาในครั้งนี้ เธอเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งเป็นมหาเศรษฐินีของโลก มีอิทธิพลทางการเงินอย่างกว้างขวาง เธอมาด้วยข้อเสนอจะขอซื้อความยุติธรรม คือ จะให้เงินเมืองกูลเลนร้อยล้านเหรียญ เพื่อแลกกับชีวิตอิล ในขั้นต้นชาวเมืองปฏิเสธข้อเสนอนี้อย่างแข็งขัน ต่างก็อ้างว่าความยุติธรรมซื้อขายไม่ได้ มนุษยธรรมและชีวิตย่อมมีค่าสูงกว่าเงินร้อยล้าน แล้วในไม่ช้าความอ่อนแออันเป็นวิสัยของมนุษย์ปุถุชนก็ผลักดันให้พวกเขาตกเป็นทาสของเงิน คลาร่า ลงทุนกวาดซื้อกิจการทุกอย่างในเมืองมาเป็นของตัวเองหมด เปิดจ่ายสรรพสินค้านานาชนิดให้ชาวเมืองซื้อเชื่อได้ ชาวกูเลนตื่นเต้นยินดีกับสินค้างามๆความเจริญทางวัตถุรอบๆตัว ต่างจับจ่ายข้าวของมาเพิ่มพูนความสุขสบายของตนอย่างเต็มที่ ทุกคนอยู่ดีกินดีขึ้นเรื่อยๆ ด้วยสินค้าเงินเชื่อ ในขณะเดียวกันเสียงของมนุษยธรรมที่ต่อต้านคลาร่าก็ค่อยๆเบาลงๆ การเอาชีวิตอิลเพื่อความอยู่รอดของเมือง ดูจะเป็นสิ่งจำเป็น อิลเริ่มถูกคุกคามทั้งทางตรงและทางอ้อมด้วยความเห็นแก่ตัว ชาวเมืองบังคับให้อิลฆ่าตัวตายเพื่อส่วนรวม แต่อิลปฏิเสธ ยืนยันขอเป็นจำเลย เผชิญกับความตายที่ชาวเมืองหยิบยื่นให้ ซึ่งหมายความว่าชาวเมืองต้องรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตนเองว่าจะเลือกเอาเงินหรือมนุษยธรรม ในที่สุดชาวเมืองจัดการให้อิลหัวใจวายตายในวันรับมอบเงิน โดยตบตาโลกว่าเป็นพิธีการกุศล ในโอกาสที่หญิงชรามีใจบุญบริจาคเงินร้อยล้านเหรียญให้บำรุงเมืองกูลเลน ฟรีดริช ดืรเรนมัตต์ เรียกบทละครของเขาเรื่อง
"การมาเยือนของหญิงชรา" ว่าเป็นละครชวนหัวแบบโศก (tragische Kom๖die)
ดืรเรนมัตต์ชอบเขียนละครชวนหัว ประเภท Kom๖die เพราะเขามีความเห็นว่าละครโศกที่เรียกว่าโศกนาฏกรรม
(Trag๖die) เป็นสิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้แล้ว ในสังคมของโลกปัจจุบันละครประเภทโศกนาฏกรรมนั้น
ต้องเกิดในสังคมที่มีระเบียบ มีกรอบ ในที่ที่คนยอมรับรู้ว่าอะไรผิดบาป และใครจะต้องเป็นผู้รับบาป
โลกของเราเวลานี้ มิได้อยู่ในสภาพ ถ้าจะพิจารณาให้ละเอียด ลักษณะโกรเทสก์ ในบทละครเรื่องนี้แสดงออกให้เห็นด้วยวิธีการต่างๆดังนี้ การขยายความให้ดูมโหฬาร เกินธรรมดา วิธีการนี้เห็นได้ในตัวเอง
ทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวมาดามคลาร่า ล้วนพิเศษมโหฬารเกี่ยวข้องกับประเทศต่างๆเกือบทั่วโลก
เช่นกล่าวว่า มาดามคลาร่าเป็นมหาเศรษฐี เป็นเจ้าของบริษัทน้ำมัน อเมริกันออยล์
กิจการรถไฟสายตะวันตก (Western Railways) กิจการวิทยุ (The Nord Broad-Casting
Company) และแม้เขตบันเทิงสถานที่ฮ่องกง ดืรเรนมัตต์ ดึงเอาความยิ่งใหญ่ของสถานที่ต่างๆของโลกมารวมไว้ด้วยกันอย่างเหลือเชื่อ
เช่น มาดามคลาร่ากล่าวถึงสามีคนที่ 7 ของเธอว่า :- เขามองดูคล้ายชาวบราซิล
แต่ไม่ใช่ พ่อเป็นคนรัสเซียน สันตะปาปาเป็นผู้ให้พรเราในวันแต่งงาน"
หรือว่า สามีคนที่ 1 เป็นมหาเศรษฐีจากอารเมเนีย ลักษณะโกรเทสก์ อีกประเภทหนึ่งที่ดืรเรนมัตต์นำมาใช้คือ การนำเอาของต่างชนิด ต่างธรรมชาติมารวมกัน ทำให้เกิดความขัดแย้ง ผิดปกติ ผิดธรรมชาติ เช่นดึงมนุษย์ลงมาอยู่ในระดับเดียวกับสัตว์ หรือวัตถุ ในละครเรื่องนี้ เราจะเห็นว่า สามีของหญิงชรามีสภาพเหมือนคนใช้ และคนใช้ก็มีสภาพไม่ผิดกับสัตว์เลี้ยง พวกเขาเดินตามเธอ เหมือนสัตว์ที่ซื่อสัตย์วิ่งตามนาย เมือหญิงชราออกคำสั่ง พวกเขาจะทำตามทันที โดยไม่โต้แย้ง สามี คนใช้ และสัตว์ ในสายตาของหญิงชรามีฐานะเท่ากัน เธอเรียกพวกเขาในลักษณะเดียวกันหมด คล้ายสุนัข ว่า โรบี้, โทบี้, โคบี้, โลบี้, โบบี้ ครั้งหนึ่งเธอกล่าวถึงสามีคนที่ 7 ว่า "ที่จริงเขาชื่อเปโดร แต่เรียกว่า โมบี้ เพราะยังคล้องจองกับชื่อ โบบี้ คนใช้ประจำห้องของฉันดีเสียด้วย" เมื่อเธอเรียกสามีคนที่ 7 ว่า โมบี้ สามีคนที่ 8 จึงได้ชื่อว่า โฮบี้ และโซบี้ ตามลำดับ ความผิดธรรมชาติ อันเกิดจากการเปลี่ยนมนุษย์ให้เป็นเพียงตุ๊กตา
หรือหุ่นยนต์ก็เป็นลักษณะโกรเทสก์อีกประการหนึ่ง ในละครเรื่องนี้ เห็นได้ชัดเจน
ในบทของสามีหญิงชรา ที่ได้รับการปรนนิบัติคล้ายเป็นสัตว์ เลี้ยง บางครั้งคล้ายตุ๊กตา
หรือหุ่นมีชีวิตมากกว่าจะเป็นมนุษย์ปกติ เช่นตอนที่หญิงชรา เรียกสามีคนที่
7 ให้เข้ามาหา เธอเรียกว่า "โมบี้ มานี่ โค้งซิ !" การดึงความเป็นมนุษย์ลงไปปะปนกับพืชและสัตว์นี้ ถูกนำมาใช้ในการจัดเวทีด้วย ในฉากป่าคอนราด ผู้เขียนกำหนดว่าบรรดาต้นไม้ในป่า ให้ใช้คนขึ้นไปยืนถือกิ่งไม้ โบกไปมาแทนต้นไม้ และต้นไม้บางต้นก็มีบทสนทนาด้วย การให้คนรับหน้าที่เป็นต้นไม้นี้ ทำให้ดูแปลก ตลก ผิดปกติ แต่ก็นับว่าสอดคล้องกับการปฏิบัติของหญิงชราที่เลี้ยงผู้คนไว้รอบๆตัวคล้ายสัตว์ คล้ายพืช ลักษณะโกรเทสก์ อันเกิดจากการทำให้คนเป็นตุ๊กตา หุ่นยนต์นี้ เห็นได้แม้แต่ในภาษา ในบทสนทนาหลายแห่ง คำพูดของคนเป็นเพียงวลีสั้นๆ ห้วนๆ พูดซ้ำๆกัน มีการรับคำแบบลุกคู่ พูดตามกันซ้ำๆ ทำให้ภาษาที่คนพูดไม่มีชีวิตจิตใจ กลายเป็นภาษาของเครื่องอัตโนมัติและคนพุดก็ไม่แสดงบุคลิกประจำตน กลายเป็นเหมือนตุ๊กตาที่เขาอัดเสียงไว้ ดังเช่นฉากที่ชาวเมืองทยอยเข้ามาซื้อของที่ร้านอิล ลักษณะที่ชาวเมืองที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่เป็นเหมือนตุ๊กตา ซึ่งทำเหมือนกันหมด พูดเหมือนกันหมด จึงปรากฏให้เห็นชัดเจน ตัวหญิงชราเองก็พิสดารไม่น้อย ผู้เขียนบรรยายถึงตัวเธอว่า โกรเทสก์มาก เธออายุ 63 ปี ผมแดง ใส่สร้อยไข่มุก กำไลมือทองอันใหญ่ โอ่อ่า มโหฬารเหลือเชื่อ ขาซ้ายเป็นขาพลาสติกปลอม เวลาไปไหนมาไหน เธอนั่งเสลี่ยงให้คนหาม เธอมีผู้ติดตามประหลาดๆหลายคน คือ ชายถูกตอน 2 คน นักเลงเคี้ยวหมากฝรั่ง 2 คน มีเสือดำ 1 ตัว และมีคนยกหีบศพตามไปด้วยทุกแห่ง หญิงชราเป็นเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ความร่ำรวยทำให้เธอยืนอยู่เหนือกฎหมายทุกชนิด เช่นการมาเยือนเมืองกูลเลนนั้น เธอใช้วิธีดึงกระดิ่งสัญญาณฉุกเฉินในรถไฟด่วนที่เธอโดยสารมาเพื่อให้รถไฟหยุด เพียงเพื่อเธอจะได้ลงที่เมืองกูลเลนตามเวลาที่เธอต้องการ ความหรูหราราวกับนางพญาของเธอเมื่อเทียบกับชาวเมืองที่จนมอซอ แต่พยายามตกแต่งปกปิดความจริงมองดูแล้วขัดแย้งกัน น่าขำ และน่าสงสารพร้อมๆกัน วิธีการพูดอย่างขวานผ่าซากของหญิงชราที่ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งสะอึก เสียหน้า ก็ทำให้เกิดสภาพโกรเทสก์สำหรับคนดูเช่นกัน คือนึกไม่ถึง ทั้งขำ ทั้งเศร้าใจพร้อมๆกัน ฉากที่หญิงชราคุยกับคนรักเก่า อิล ในป่าคอนราด รำลึกถึงความหลังนั้น อิลตกอยู่ในอารมณ์เคลิบเคลิ้ม แต่หญิงชรามิได้มีอารมณ์อ่อนไหวด้วย เมื่อเขายกมือเธอขึ้นจุมพิต เธอตอบเขาหน้าตาเฉยว่า นั่นคือมือปลอม ความน่าขำที่คนแก่เช่นอิลพยามยามแสดงบทรักรื้อฟื้นความหลังก็เป็นโกาเทสก์เช่นกัน การที่ผู้เขียนกำหนดให้คนขึ้นไปยืนโบกกิ่งไม้แสดงเป็นต้นไม้ในป่า ซึ่งดูตลกดังที่กล่าวมาแล้วนั้น จุดประสงค์ข้อหนึ่งของผู้เขียนที่กล่าวไว้ท้ายเรื่อง คือเพื่อให้ความทุเรศ อันเกิดจากบทรักของคนแก่ลดน้อยลง ตัวหญิงชราและความเป็นอยู่ของเธอผิดแปลกจากคนทั่วๆไป เธอเองดูจะไม่รู้สึกถึงความผิดปกติของตนเลย เธอมองดูอวัยวะเทียมส่วนต่างๆของเธอราวกับเป็นสิ่งธรรมดาที่สุด เช่นในระหว่างอาหารเช้า เธอสั่งคนใช้อย่างธรรมดาที่สุดว่า "บอบบี้ ส่งขาข้างซ้ายมาซิ ฉันจะใส่" ความแปลกประหลาดในตัวหญิงชราที่มีอวัยวะเทียมเกือบครึ่งตัวนั้นผู้เขียนจงใจจะล้อเลียนชีวิตสมัยใหม่ ที่เต็มไปด้วยเครื่องจักกล เช่น หญิงชราต้องใส่ขาเทียม เพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ส่วนแขนเทียมเพราะเกิดจากเรือบินตกเป็นต้น เช่นเดียวกับร่างกายที่ผิดธรรมชาติของเธอ หญิงชรามีจิตใจที่ผิดธรรมชาติมนุษย์ เช่นกัน เธอไม่มีความรู้สึก ไม่อ่อนไหว ไม่มีความปราณี ชาเย็น แข็งกร้าว ไม่รู้จักการให้อภัย เธอดำเนินการตามแผนแก้แค้นที่เธอต้องการอย่างถึงที่สุดตามใจต้องการ เธอทำได้เพราะเธอมีเงิน เงินทำให้เธอกลายเป็นคนเหนือกฎหมาย อิสระ จะทำอะไรก็ได้บทบาทของเธอดูคล้ายอมนุษย์จากแดนอื่น ด้วยสติ และความรู้สึกรับผิดชอบได้ทำให้ชาวเมืองปฏิเสธที่จะขายอิลในตอนแรก แต่ความอ่อนแอของมนุษย์ต่อสิ่งที่เย้ายวน คือเงิน ทำให้เสียงปฏิเสธค่อยๆอ่อนลงๆ รองเท้าเหลืองเป็นสัญลักษณ์แสดงออกถึงการยอมรับข้อเสนอของหญิงชรา เป็นการทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ เป็นก้าวแรกที่นำไปสู่การเป็นหนี้ทั้งตัว เหตุที่ผู้เขียนเลือกรองเท้าสีเหลืองนี้ อธิบายได้ไม่ยาก รองเท้าเป็นสิ่งที่ทุกคนใส่ มองเห็นได้ง่าย ด้วยวิธีนี้ สัญลักษณ์ของคนทั้งเมืองที่เหมือนกันจึงเห็นเด่นชัด ในขณะเดียวกันความโกรเทสก์ก็เกิดขึ้น เพราะสีรองเท้าสีเหลืองไม่ใช่สีสำหรับรองเท้าปกติ (โดยเฉพาะเมื่อ 10 ปีก่อน) การที่คนทั้งเมืองใส่รองเท้าเหลืองเหมือนกันหมด จึงแปลก ผิดปกติ เกินความจริง การซื้อรองเท้าเหลืองใส่ การซื้อขนมนมเนยกันคนละมากๆ ของชาวเมือง คือความอ่อนแอ เป็นการรับอามิสที่หญิงชราหยิบยื่นให้ ทำให้ความรู้สึกรับผิดชอบของพวกเขาค่อยๆจางลงไป ความรู้สึกต่ออิลเรื่องเปลี่ยนแปลงไปด้วย ทุกคนเลิกสู้เพื่ออิล แม้ว่าจะไม่มีใครกล้าพูดออกมาตรงๆก็ตาม แต่เขาต่างรู้กันในทีว่าควรจะปฏิบัติต่ออิลเช่นไร เมื่อตอนล่าเสือดำที่หลุดไปจากกรงนั้น ที่จริงเขาตามล่าอิลด้วย ความอ่อนแอของชาวเมืองทำให้พวกเขาไม่กล้าเผชิญความจริงในข้อนี้ ไม่ยอมรับว่าตนกำลังซื้อความสุขสมบูรณ์ด้วยชีวิตอิล ทุกคนทำเหมือนกันหมด แต่ไม่มีใครปริปากพูดออกมา ความเงียบที่เกิดจากการรู้กันนี้ เป็นภัยเงียบสำหรับอิล ความน่ากลัว อึดอัด พูดไม่ออก เป็นสภาพที่ปกคลุมรอบๆตัวอิล ฉากที่อิลพยายามจะหนีไปจากเมืองอื่นนั้น แสดงออกให้เห็นถึงบรรยากาศที่เครียดดังกล่าวได้ดีที่สุด อิลเดินไปสถานีรถไฟ ชาวเมืองต่างตามเขาไป ล้อมหน้าล้อมหลัง ทุกคนะฃพูดว่าจะไปส่งเขาขึ้นรถไฟ เมื่อรถไฟมาถึง ชาวเมืองต่างพูดว่า ขึ้นรถซิ ไปซิอิล ไปเลยอิล แต่ในขณะเดียวกันกลับล้อมกรอบเขาไว้ ไม่ให้ขึ้นรถไฟได้ อิลไม่กล้าขึ้นรถไฟ สภาพที่ช่วยตัวเองไม่ได้ พูดไม่ออก หนีไม่ได้ ทำให้อิลตกอยู่ในความกลัว ทุรนทุราย เป็นสภาพโกรเทสก์ลักษณะหนึ่ง W.Kayser กล่าวไว้ว่า ความพรั่นพรึงที่คุกคามเป็นลักษณะหนึ่งของโกรเทสก์ การที่ชาวเมืองกลายเป็นตุ๊กตา เป็นเครื่องมือของหญิงชรา ความเปลี่ยนแปลงในความเป็นอยู่ การแต่งตัว คำพูด แลแม้ค่านิยมของชีวิต ทำให้พวกเขากลายเป็นตัวตลกสำหรับคนดู และเป็นมัจจุราชสำหรับอิล เพราะความร่ำรวยของชาวเมืองคือความสิ้นสุดในชีวิตของอิล แต่ความกลัวนี้สามารถพาอิลกลับมาสู่ความสงบได้เมื่อเขาคิดตกและตัดสินใจที่จะยอมรับผิด ยอมตายเพื่อล้างบาปที่ตนเคยทำไว้กับหญิงชรา ฉะนั้นเมื่อผู้ว่าราชการเอาปืนมาเกลี้ยกล่อมให้เขาฆ่าตัวตายเขาจึงปฏิเสธ การตัดสินใจของอิลทำให้เขาหายกลัวและเป็นอิสระหลุดพ้นจากความกลัวตายที่คุกคาม เขากลับเป็นตัวของตัวเอง เป็นคนที่สมบูรณ์ ฝ่ายชาวเมืองซึ่งพูดถึงมนุษยธรรมในตอนแรกกลับทำลายธรรมนั้นด้วยตนเองในที่สุด ความรู้สึกโกรเทสก์เกิดขึ้นความรู้สึกของคนดูคือ ละอาย สังเวช รู้สึกว่าชาวเมืองนั้น คือตัวเราเอง มนุษย์ที่อ่อนแอ เห็นแก่ตัว ฉากสุดท้ายที่อิล ถูกฆ่าก็เป็นฉากที่โกรเทสก์ยิ่ง ความหลอกลวงของมนุษย์ปรากฏให้เห็นชัดเจน ชาวเมืองมาชุมนุมกันในโรงแรมใหญ่ของเมืองในลักษณะงานเลี้ยงฉลองมีการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ ออกโทรทัศน์ เป็นข่าวใหญ่โต ประกาศให้โลกรู้ว่าหญิงชราจะบริจาคเงินให้ชาวเมืองร้อยล้านเหรียญ ผู้ว่าราชการยืนขึ้นกล่าวสดุดีหญิงชราอย่างยืดยาว ซึ่งล้วนเป็นคำยกย่องไพเราะน่าเลื่อมใส แต่ทว่าไม่ตรงกับความเป็นจริง เพราะที่จริงหญิงชราให้เงินชีวิตอิล ไม่ใช่ให้ด้วยความใจบุญ การมาชุมนุมกันในวันนั้น คือการมาส่งมอบอิล ไม่ใช่การมาชุมนุมกันเพื่อการกุศล หรือเพื่อมนุษยธรรมอย่างที่ผู้ว่าราชการกล่าวประกาศ ชาวเมืองทุกคนรู้ความจริงข้อนี้ดี แต่ทุกคนเงียบ ไม่โต้แย้ง ทุกคนยอมเป็นทาสเงินการฆ่าอิลก็เป็นไปอย่างน่าขำ น่าสังเวช คือ โกรเทสก์ ตำรวจ ผู้ราชการ ต่างร่วมลงมือต้อนอิลเข้ามุมเอง แต่ตัวบาทหลวงเองก็ยังมีหน้าเข้ามาให้พร พูดว่าจะสวดมนต์ให้เขา แบบที่ทำกันกับคนก่อนจะตาย ทั้งๆที่ตัวบาทหลวงเองก็กำลังจะร่วมฆ่าอิลอยู่แล้ว และเมื่ออิลถูดกดลง บีบคอจนตาย แพทย์ยังเข้ามาทำเป็นจับชีพจร แล้วประกาศว่าอิลหัวใจวายตาย ผู้ว่าราชการประกาศก้องต่อไปว่าอิลตายเพราะความตื้นตันใจในไมตรีจิตของหญิงชราที่มีต่อชาวเมือง ที่จริงเนื้อเรื่องของละครเรื่องนี้ ก็นับว่าโกรเทสก์ไม่น้อย การที่หญิงชราจดจำความขมขื่นที่ดไรับเมื่อวัยสาวในกรณีที่ชายคนรักทอดทิ้งเธอไปแต่งงานกับหญิงที่มีฐานะดีกว่าถึงกับวางแผนแก้แค้นกับคนทุกคนที่ทำกับเธออย่างไม่ลดละ แม้เวลาจะล่วงเลยไปหลายสิบปีแล้วก็ตาม เธอหวนกลับมาที่เมืองเก่าในฐานะเศรษฐีนี มีเงิน มีอำนาจ มาเสนอซื้อชีวิตอิลจากชาวเมือง เพื่อแก้แค้นลบล้างความอยุติธรรมที่เธอเคยได้รับนั้น เป็นสิ่งที่เกินธรรมดา เกินความเป็นมนุษย์ เมื่อเราพิจารณาว่าความผิดของอิล คือ ความเห็นแก่ตัวของผู้ชายที่ไม่ซื่อต่อความรัก ที่จริง เป็นปัญหาสามัญที่สุดในโลก ดังนั้นความต้องการของหญิงชราซึ่งเป็นคำขาด เป็นกฎอยู่เหนือกฎหมายของมนุษย์ จึงดูเกินของเขตของความเป็นมนุษย์ ทำให้น่ากลัว น่าขำ น่าสมเพชพร้อมๆกัน ดืรเรนมัตต์ เป็นนักวิจารณ์สังคมเช่นเดียวกับนักเขียนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน วิธีการของเขา คือ ชี้จุดอ่อนที่น่าหัวเราะของคนให้เราเห็น คนดูรู้สึกขำ หัวเราะ แต่เป็นการหัวเราะที่ไม่แจ่มใส เป็นการหัวเราะปนความเศร้านั่นแหละ คือความรู้สึกของโกรเทสก์ หนังสืออ้างอิง 1. Dietrich, Margret. Das
moderne Drama Stuttgart : Kr๖ner Verlag, 1963. อำภา โอตระกูล Dr. phil
Germanistik (Marburg) |