Humour in Literature

มุขตลก: ศาสตราวุธของผู้ไร้อำนาจ
บทวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบเรื่องทิลล์ ออยเลนชะปีเกล
กับศรีธนญชัยในฐานะนิทานมุขตลก
Jest: The Weapon of the Weak-The Comparative Analysis of Till Eulenspiegel and Srithanonchai as trickster Tales

ศิริพร ศรีวรกานต์*
วารสารอักษรศาสตร์ ปีที่ 30 ฉบับที่ 1 ม.ค. - มิ.ย. 2544


นิทานมุขตลกหรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า joke, jest, humorous anecdote, numskull tale, merry tale, farcical tale และ jocular folktale มีต้นกำเนิดที่เก่าแก่สืบทอดมายาวนาน มีเนื้อหาหลากหลาย จำง่าย และเป็นที่ชื่นชอบกันทั่วไป นิทานมุขตลกบางเรื่องในปัจจุบันมีอายุเก่าแก่ประมาณสามถึงสี่พันปีและเป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลก ดังนั้น นิทานมุขตลกซึ่งปรากฏอยู่ในทุกสังคมและยุคสมัยจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

โดยทั่วไปมักเข้าใจกันว่านิทานมุขตลกสร้างขึ้นเพียงเพื่อให้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน แท้จริงแล้วบทบาทสำคัญประการหนึ่งของนิทานมุขตลก คือการผ่อนคลายความกดดันอันเนื่องมาจากกฎเกณฑ์และระเบียบของสังคมซึ่งไม่สามารถพูดหรือวิจารณ์ความเป็นจริงได้ แต่เมื่ออยู่ในรูปของนิทานซึ่งเป็นโลกสมมุติจึงสามารถฟังได้และหัวเราะได้ โดยที่ไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งในสังคม เนื่องจากผลที่ตามมาหลังจากฟังนิทานมุขตลกคือเสียงหัวเราะซึ่งทำให้ผู้ฟังสนุกสนาน โดยไม่มีการตรวจสอบคำวิจารณ์ที่แฝงไว้อย่างถี่ถ้วน การวิจารณ์กฎระเบียบของสังคมหรือเสียดสีหรือล้อเลียนคู่กรณีอย่างเปิดเผยอาจนำไปสู่ความบาดหมางต่อกัน แต่การใช้นิทานมุขตลกทำให้มีโอกาสเย้ยหยันคู่กรณีโดยมีเสียงหัวเราะช่วยกลบเกลื่อนการเสียดสีหรือการล้อเลียน จึงกล่าวได้ว่าพฤติกรรมของตัวละครเอกในนิทานมุขตลกมิใช่สิ่งไร้ค่า ความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับความเห็นของ พอล เรเดน (Paul Radin) ผู้วิจัยเกี่ยวกับเรื่องตัวละครเอกเจ้าปัญญา ซึ่งมีความเห็นว่าการกระทำของตัวละครเอกเจ้าปัญญามิอาจจัดว่าเป็นสิ่งที่ไร้ค่า ไร้เหตุผล และไร้สติ


นิทานมุขตลกมักเน้นตัวละครเอกซึ่งมีลักษณะเจ้าปัญญาหรือฉลาดแกมโกง สถานการณ์ในเรื่องแต่ละตอนมีความสมบูรณ์ในตัวเองและสามารถแยกเล่าเป็นเอกเทศได้ โครงเรื่องเน้นความขัดแย้งของตัวละครเอกกับคู่กรณีโดยที่ตัวละครเอกเป็นผู้เผชิญหน้ากับปัญหาและจะต้องหาทางออก ซึ่งมักจะเป็นการพลิกความคาดหมายซึ่งเป็นจุดที่สร้างความขบขัน บางครั้งมุขตลกอาจจะส่งผลให้คู่กรณีบาดเจ็บหรือเสียชีวิต แต่ผู้ฟังถือว่ามุขตลกนั้นเป็นเรื่องสมมุติเพื่อความสนุกสนานมิใช่เรื่องจริง

ในสังคมเยอรมันมีนิทานมุขตลกหลายเรื่อง นิทานมุขตลกในภาษาเยอรมันเรียกว่า ชะวังค์ (Schwank) เป็นวรรณกรรมประเภทหนึ่ง ที่มีเรื่องราวตลกขบขันรูปแบบต่าง ๆ มีปรากฏทั้งที่เป็นร้อยกรองและร้อยแก้วตั้งแต่ศตวรรษที่19 ขอบเขตและความหมายของคำนี้กว้างขึ้นโดยรวมถึงเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตประจำวันที่มีเหตุการณ์ขบขัน และเรื่องราวของการเสียดสีโดยใช้เล่ห์กลหรืออุบาย ซึ่งตัวละครเอกมักจะเป็นผู้ไร้อำนาจในสังคม นิทานมุขตลกที่น่าสนใจของสังคมเยอรมันคือเรื่อง ทิลล์ ออยเลนชะปีเกล (Till Eulenspiegel) ส่วนในสังคมไทยมีนิทานมุขตลกเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไป และเป็นที่นิยมของผู้อ่านตลอดมานับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันคือเรื่อง ศรีธนญชัย เรื่องทิลล์ ออยเลนชะปีเกลกับศรีธนญชัยคล้ายคลึงกัน อย่างชัดเจนในด้านการดำเนินเรื่อง โดยเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งที่ยึดมั่นกับการพลิกความคาดหมาย ตัวละครเอกทั้งสองได้กระทำแต่สิ่งที่ผิดไปจากแบบแผนหรือสิ่งที่ปฏิบัติกันสืบมา

ความน่าสนใจของนิทานมุขตลกทั้งสองเรื่องประการหนึ่ง คือ คู่กรณีที่ถูกทิลล์ ออยเลนชะปีเกลกับศรีธนญชัยยั่วล้อ ทั้งสองมักจะกลั่นแกล้งบุคคลที่คนส่วนใหญ่ให้ความเคารพหรือผู้ที่มีอำนาจ ในสังคม การศึกษาคู่กรณีของนิทานทั้งสองเรื่องจึงมีความสำคัญ เนื่องจากกลุ่มบุคคลเหล่านั้นเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของโครงสร้างทางสังคม การศึกษาโดยพิจารณาจากสถานภาพทางสังคมของคู่กรณี น่าจะทำให้ทราบเกี่ยวกับการจัดระเบียบทางชนชั้นและสภาพแวดล้อมของแต่ละสังคม ซึ่งแตกต่างกัน


คู่กรณีที่ถูกทิลล์ ออยเลนชะปีเกลยั่วล้อ

คู่กรณีที่ถูกทิลล์ ออยเลนชะปีเกลล้อเลียน ได้แก่ กลุ่มช่างฝีมือและพ่อค้า กลุ่มครูอาจารย์ กลุ่มเจ้านครรัฐและกลุ่มพระ กลุ่มบุคคลทั้งสี่กลุ่มเป็นกลุ่มที่มีบทบาทและมีความสำคัญในสังคม แต่บุคคลเหล่านั้นอาจจะสร้างความกดดันแก่บุคคลที่เป็นชนชั้นล่างของสังคมเฉกเช่นทิลล์ เขาจึงใช้ปัญญายั่วล้ออำนาจของบุคคลเหล่านั้น

กลุ่มช่างฝีมือและพ่อค้า

ทิลล์ ออยเลนชะปีเกลกลั่นแกล้งกลุ่มช่างฝีมือและพ่อค้ามากที่สุด มนุษย์ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความต้องการทางเศรษฐกิจได้ การอยู่รอดของมนุษย์ทางด้านนี้ยังคงมีความจำเป็นอย่างมาก สมาชิกในสังคมจึงรวมกลุ่มกันเพื่อผลิตสินค้าและค้าขาย โดยมีหัวหน้ากลุ่มหรือที่เรียกกันว่านายช่างฝีมือและพ่อค้าเป็นผู้นำในกิจกรรมต่าง ๆ และมีอำนาจที่จะสามารถจัดระบบในกลุ่มของตนเพื่อผลประโยชน์ทางด้านการผลิตสินค้าและบริการ

ทิลล์มักจะยั่วล้อนายจ้างด้วยการกระทำที่พลิกความคาดหมาย สำหรับลูกจ้างบางคน คำสั่งของนายจ้างมักจะเป็นประกาศิตที่จะต้องปฏิบัติตามเพื่อความพอใจของนายจ้างซึ่งจะส่งผลถึงการจ้างงาน สำหรับทิลล์ คำสั่งของนายจ้างถูกเขาพลิกแพลงให้ผิดความคาดหมายของนายจ้าง ตัวอย่างเช่น ทิลล์เข้าบ้านนายจ้างทางหน้าต่างเมื่อนายจ้างสั่งทิลล์เข้าไปรอตนที่บ้านที่มีหน้าต่างบานใหญ่ ในเหตุการณ์อีกตอนหนึ่ง เมื่อนายจ้างสั่งให้ตัดแผ่นหนังสำหรับทำรองเท้าของคนเลี้ยงสัตว์ ทิลล์ตัดแผ่นหนังเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ เช่น หมู วัว แกะ การพลิกแพลงคำสั่งของนายจ้างซึ่งเป็นช่างฝีมือจึงนำไปสู่ความขัดแย้งค่อนข้างรุนแรง ทิลล์สร้างความไม่พอใจแก่นายจ้างและสร้างความเสียหายให้แก่ทรัพย์สินของนายจ้าง วัตถุดิบที่ใช้การผลิตสินค้าถูกทำลายเสียหาย ผลสุดท้ายทิลล์มักจะถูกไล่ออก แต่หลายต่อหลายครั้งทิลล์มักจะออกจากบ้านของนายจ้างเองหลังจากก่อเรื่องแล้ว

ความขัดแย้งระหว่างทิลล์กับกลุ่มช่างฝีมือและพ่อค้ามีหลายลักษณะ ลักษณะแรก วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้าของกลุ่มช่างฝีมือถูกทำลาย อีกลักษณะหนึ่ง คือ การที่พ่อค้าถูกทิลล์หลอกให้ซื้อของปลอมโดยทิลล์หลอกพ่อค้าให้ซื้อไขมันสัตว์ ซึ่งมีเพียงไขมันสัตว์อยู่ข้างบน ส่วนข้างล่างเป็นมูลสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นการถูกทำลายทรัพย์สินหรือการถูกหลอกซื้อของปลอม ล้วนแต่ทำให้เจ้าของกิจการต้องสูญเสียทรัพย์สินซึ่งล้วนก่อให้เกิดความไม่พอใจ อย่างไรก็ตาม ในบาง
เหตุการณ์ทิลล์มิได้ทำลายทรัพย์สินหรือหลอกลวงทรัพย์สินของพ่อค้าหรือช่างฝีมือแต่สร้างความขุ่นเคืองให้แก่คู่กรณี ดังเช่นในเหตุการณ์ที่ทิลล์ส่งจดหมายเชิญไปยังช่างตัดเสื้อทั่วแคว้นซักเซน ให้มาฟังเคล็ดลับที่จะทำให้ผู้ประกอบอาชีพตัดเสื้อมั่งคั่งตลอดไปจนกว่าโลกจะถึงจุดจบ เคล็ดลับนั้นก็คือก่อนเย็บผ้าต้องไม่ลืมสนด้ายเข้าเข็มและขมวดปมที่ปลายด้ายด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ที่แม้จะไม่ได้เป็นช่างตัดเสื้อทราบดี การหลอกลวงนั้นสร้างความโกรธเคืองให้แก่ผู้ที่มาฟังซึ่งต้องเดินทางมาไกล (Da wurden die Schneider, die von weither gekommen waren, zornig auf ihn…)

กลุ่มช่างฝีมือและพ่อค้าส่วนใหญ่ร่วมกันจัดตั้งสมาคมผู้ประกอบอาชีพช่างและสมาคมกิลด์ (Guild) เพื่อประโยชน์ในการผลิตสินค้า แบ่งปันผลประโยชน์อันเกิดจากการผลิตระหว่างสมาชิกในระบบเศรษฐกิจ และเพื่อจำหน่ายผลผลิตที่มีคุณภาพแก่สมาชิกในสังคม จุดมุ่งหมายต่าง ๆ ดังกล่าวของระบบเศรษฐกิจดูเหมือนจะเป็นไปเพื่อแก้ไขปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และสนองความต้องการของผู้บริโภค แต่ดูเหมือนว่าสมาคมเหล่านี้ไม่เอื้ออำนวยประโยชน์ต่อลูกจ้างของนายช่างฝีมือและพ่อค้า ยิ่งไปกว่านั้น กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่สมาคมกำหนดขึ้นส่วนใหญ่แทบจะไม่ช่วยให้ลูกจ้างได้พัฒนาตนขึ้นเป็นนายช่างฝีมือหรือพ่อค้า ในทางปฏิบัติบางครั้งการเป็นช่างฝีมือมักจะจำกัดอยู่ในกลุ่มของผู้ที่เป็นลูกหลานของช่างฝีมือและพ่อค้า ทิลล์ปฏิเสธขั้นตอนสู่การเป็นช่างฝีมือ และกระทำแต่สิ่งที่ตนปรารถนา นั่นคือใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี นอกจากการไม่ยอมให้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของระบบเศรษฐกิจมาตีกรอบชีวิตของตนแล้ว ทิลล์ยังต่อต้านอำนาจของเจ้าของกิจการซึ่งเอารัดเอาเปรียบลูกจ้าง ระบบเศรษฐกิจในยุคสมัยของทิลล์นั้นเมื่อได้รับอนุญาตให้ดำเนินกิจการในเสรีนครแล้ว กลุ่มผู้ประกอบการสามารถดำเนินกิจการได้ ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อเสียคือเกิดการแข่งขันอย่างเสรี ผู้ที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจซึ่งมีเพียงจำนวนน้อยจะมั่งคั่งมากยิ่งขึ้น ในขณะที่คนจำนวนมากได้แก่บรรดาลูกจ้างกลับไม่มีหลักประกันในชีวิตและการงาน

อาจจะเป็นไปได้ที่ทิลล์เห็นจุดบกพร่องดังกล่าวจึงมักจะกลั่นแกล้งกลุ่มช่างฝีมือและพ่อค้าเท่าที่โอกาสจะเอื้ออำนวย การยั่วล้อของทิลล์อาจจะจัดว่าทิลล์ไม่ได้เห็นความสำคัญของกลุ่มช่างฝีมือและพ่อค้า ด้วยเหตุนี้ เขาจึง "ไม่ยอมลง" ให้แก่คู่กรณีกลุ่มนี้ และไม่ยอมให้ชีวิตของตนต้องถูกระบบเศรษฐกิจครอบงำ

ความขัดแย้งระหว่างทิลล์กับคู่กรณีที่เป็นช่างฝีมือและพ่อค้าเกิดขึ้นบ่อยที่สุด และเป็นไปในลักษณะที่รุนแรงที่สุด อาจจะเนื่องมาจากทิลล์จำต้องเป็นผู้อยู่ใต้การปกครองของบุคคลเหล่านี้เกือบตลอดชีวิต การเผชิญหน้ากับบุคคลกลุ่มนี้มากกว่าบุคคลกลุ่มอื่น ๆ น่าจะส่งผลให้เกิดความกดดันและความไม่พอใจช่างฝีมือและพ่อค้ามากขึ้นไปด้วย จึงนำไปสู่การล้อเลียนอำนาจของคนกลุ่มนี้มากกว่าบุคคลกลุ่มอื่น

กลุ่มครูอาจารย์

ทิลล์ ออยเลนชะปีเกลล้อเลียนความทรนงของบรรดาครูอาจารย์ซึ่งเป็นชนชั้นปัญญาชน โดยผู้ที่จะได้รับการศึกษาระดับนี้มักจะต้องมีฐานะทางเศรษฐกิจดี การเล่าเรียนวิชาความรู้จนถึงระดับอุดมศึกษาในยุคสมัยของทิลล์ยังคงอยู่ในขอบเขตที่จำกัด เนื่องจากยังไม่ได้ก้าวสู่ยุคการศึกษาของทวยราษฎร์อย่างแท้จริง แม้ว่าในยุคนั้นจำนวนหนังสือมีมากขึ้น และราคาลดลง เนื่องจากแท่นพิมพ์อักษรและกิจการเกี่ยวกับการพิมพ์พัฒนาขึ้นมาก ทำให้สามารถผลิตงานได้ครั้งละจำนวนมาก ซึ่งส่งผลให้การเขียนและการอ่านแพร่หลายไปด้วย แต่การศึกษาระดับอุดมศึกษายังไม่แพร่หลาย ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่ได้รับการศึกษาระดับอุดมศึกษามักจะรู้สึกภาคภูมิใจในความรู้และความสามารถของตน เมื่อทิลล์โอ้อวดว่าตนเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งสามารถตอบคำถามยาก ๆ ที่ปราชญ์ผู้อื่นไม่สามารถตอบได้ เหล่าคณาจารย์จึงร่วมปรึกษาเพื่อตั้งคำถามซึ่งคิดว่าทิลล์จะต้องตอบไม่ได้และอับอาย

ความขัดแย้งระหว่างทิลล์กับกลุ่มครูอาจารย์ในมหาวิทยาลัยไม่ปรากฏในลักษณะที่รุนแรง เป็นแต่เพียงสร้างความอับอายและความเจ็บใจให้แก่ผู้ทรงคุณวุฒิ ทิลล์ไม่ได้ตอบคำถามของของครูอาจารย์แต่เบี่ยงเบนประเด็นของคำถาม ในเหตุการณ์ตอนที่ท่านอธิการบดีถามว่าจากพื้นดินถึงท้องฟ้ากว้างขนาดไหน (Sag an, wie weit ist es von der Erde bis zum Himmel?) ทิลล์ตอบว่าไม่ไกลจากที่นี่ ถ้าคนที่อยู่บนท้องฟ้าพูดคุยหรือร้องเรียก คนข้างล่างจะได้ยินชัดเจน เชิญท่านปีนขึ้นไปข้างบน ส่วนผมจะส่งเสียงเบา ๆ อยู่ข้างล่าง แล้วท่านที่อยู่ข้างบนจะได้ยิน ถ้าคุณได้ยินแสดงว่าผมพูดถูก (Es ist nahe von hier. Wenn man im Himmel redet oder ruft, das kann man hienieden wohl h๖ren. Steigt Ihr hinauf, so will ich hier unten leise rufen: das werdet Ihr im Himmel h๖ren. Und wenn Ihr das nicht h๖rt, so will ich wiederum Unrecht haben.) คำถามดังกล่าวเป็นการใช้ไหวพริบสร้างคำถามที่ไม่มีคำตอบ และทิลล์แก้ปัญหาด้วยการใช้ตรรกเดียวกันโต้ตอบ

ทิลล์อาจจะต้องการล้อเลียนข้อสงสัยของครูอาจารย์ ซึ่งตั้งคำถามโดยที่กลุ่มของตนไม่ทราบคำตอบ จึงมั่นใจว่าทิลล์ต้องไม่ทราบคำตอบด้วยเช่นกัน ทว่าพวกเขาต้องผิดหวัง อับอาย และเจ็บใจกับคำตอบของทิลล์ อันที่จริงแล้ว ทิลล์ไม่ได้ตอบคำถาม แต่เขาเบี่ยงเบนประเด็นของคำถามและสร้างเงื่อนไข ซึ่งท้าทายความสามารถของผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลายในที่นั้น หากพวกเขาไม่ยอมรับคำตอบของทิลล์ พวกเขาต้องขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อพิสูจน์คำตอบของทิลล์ ซึ่งเป็นการกระทำที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้น ผู้ทรงคุณวุฒิจึงต้องยอมรับคำตอบของทิลล์ ทิลล์สั่นคลอนอำนาจของกลุ่มครูอาจารย์ซึ่งภาคภูมิใจกับความรู้ความสามารถของตน และต้องการหาคำตอบในเรื่องต่าง ๆ ที่ตนสงสัย จึงเป็นไปได้ที่ทิลล์ต้องการจะล้อความช่างสงสัยของกลุ่มครูอาจารย์ กับคำถามที่ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถหาคำตอบได้ ในความคิดของกลุ่มครูอาจารย์มักจะเห็นว่าการกระทำของทิลล์นั้นไร้สาระและมิได้สร้างสรรค์ประโยชน์อันใด แต่กิจกรรมของกลุ่มตนนั้นมีประโยชน์ต่อสังคมมากกว่าและเป็นการตั้งข้อสงสัยเชิงวิชาการ น่าจะกล่าวได้ว่าทิลล์ไม่เห็นความสำคัญของการที่นักวิชาการบางส่วนเฝ้าครุ่นคิดปัญหาต่าง ๆ ซึ่งอาจจะมิได้มีความสำคัญต่อความอยู่รอดในแต่ละวัน ทิลล์ในฐานะที่เป็นคนพเนจรย่อมสนใจปัญหาเรื่องปากท้องมากกว่าการคำถามที่ไกลตัว อาจจะสรุปได้ว่า ทิลล์ต้องการล้อเลียนความไร้สาระของข้อสงสัยเชิงวิชาการบางประเด็น ซึ่งการค้นหาคำตอบอาจจะมิได้ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดแก่มนุษย์ก็ได้

กลุ่มเจ้านครรัฐ

เจ้านครรัฐ คือ ผู้ที่มีอำนาจในการปกครองเมืองแต่ละเมืองที่ทิลล์เดินทางมาถึง ความขัดแย้งระหว่างทิลล์กับกลุ่มเจ้านครรัฐเป็นไปในลักษณะที่ไม่รุนแรง เจ้านครรัฐมิได้ถูกทำร้ายทางร่างกาย การล้อเลียนหรือการกลั่นแกล้งนั้นเป็นไปในลักษณะที่มักจะก่อให้เกิดความรำคาญใจ และเมื่อเกิดขึ้นหลายครั้งก็อาจจะนำไปสู่ความขุ่นเคืองใจ ทิลล์ละเมิดคำสั่งของนายจ้างเมื่อทิลล์มาทำงานเป็นคนเป่าแตรให้กับท่านกราฟแห่งอันฮาลท์ คอยเป่าแตรเตือนให้รู้เมื่อศัตรูมา แต่เขากลับเป่าแตรเมื่อไม่มีศัตรู ในขณะที่เมื่อศัตรูมาเขาไม่เป่าแตร ท่านกราฟรู้สึกรำคาญใจที่ทิลล์กระทำการตรงกันข้ามกับคำสั่ง

ทิลล์มักจะละเมิดคำสั่งของเจ้านครรัฐ ในโลกของความเป็นจริงคำสั่งของเจ้านครรัฐเป็นสิ่งที่ผู้อยู่ใต้ปกครองจำเป็นต้องปฏิบัติตาม แม้จะไม่ต้องการกระทำตามแต่ก็มิอาจขัดคำสั่งได้เนื่องจากอาจถูกลงโทษ แต่ทิลล์สามารถกระทำได้โดยไม่ถูกลงโทษ เจ้านครรัฐเพียงแต่รำคาญเมื่อถูกละเมิดคำสั่ง และเมื่อถูกขัดคำสั่งหลายครั้ง ความรำคาญใจเปลี่ยนเป็นความโกรธซึ่งส่งผลให้ทิลล์ถูกไล่ไป แต่ไม่ถูกลงโทษ ทิลล์มักจะไปจากปราสาทของเจ้านครรัฐอย่างเต็มใจ เนื่องจากเขาหมดอารมณ์สนุกกับที่แห่งนั้นแล้ว (Dar?ber war Eulenspiegel froh, denn er hatte nicht viel Lust…) เหตุการณ์เช่นนี้สะท้อนให้เห็นว่าทิลล์เคยทำงานกับบุคคลระดับผู้ปกครอง แต่เขาไม่คิดที่จะแสวงหาความก้าวหน้าจากการงานในส่วนนี้ เนื่องจากให้ความสำคัญกับอิสระเสรีของตนมากกว่า

นิทานมุขตลกอาจจะมิได้แฝงการเล่าภาพลึกของสังคมในโลกแห่งความเป็นจริงเสมอไป สิ่งที่เกิดขึ้นในนิทานมุขตลกอาจจะเป็นไปตามความต้องการของผู้อ่าน ด้วยเหตุนี้การดึงความจริงออกจากนิทานมุขตลกไม่ควรจะเข้าใจตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในนิทานมุขตลก แต่ควรจะแปลเหตุการณ์ให้ตรงกันข้าม กับสิ่งที่เกิดขึ้นในนิทานมุขตลก การที่ชายเร่ร่อนดังเช่นทิลล์สามารถยั่วล้อและละเมิดคำสั่งของเจ้านครรัฐได้ มิอาจตีความได้ว่าในสังคมเยอรมันช่วงปลายยุคกลาง ชายพเนจรจะสามารถละเมิดคำสั่งของเจ้านครรัฐได้ ในทางตรงกันข้าม ควรจะพิจารณาว่าในสังคมนี้อาจจะเคร่งครัดเรื่องการปฏิบัติตามคำสั่งหรือความต้องการของเจ้านครรัฐ ซึ่งมีอำนาจและสิทธิเหนือดินแดนและประชาชนในอาณาบริเวณของตน นอกจากนี้ การที่ทิลล์ไม่ถูกลงโทษทั้ง ๆ ที่มีการละเมิดคำสั่ง อาจจะเป็นสิ่งที่สนองความปรารถนาของผู้อยู่ใต้ปกครอง ซึ่งอาจต้องการละเมิดคำสั่งของเจ้านครรัฐโดยไม่ถูกลงโทษ อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาของเจ้านครรัฐหลังจากที่ถูกทิลล์ละเมิดคำสั่งมิได้มีเพียงความรำคาญหรือขุ่นเคืองใจ แต่อาจจะรู้สึกพอใจความเจ้าปัญญาที่สามารถพลิกแพลงคำสั่งของตนได้ จึงได้ขบขันการกระทำของทิลล์ (Da fing der Herzog an zu lachen…)

กลุ่มพระ

พระเป็นอีกชนชั้นหนึ่งที่ถูกทิลล์ล้อเลียน ความสัมพันธ์ระหว่างทิลล์กับพระที่มอบหมายงานให้เขากระทำเป็นความขัดแย้งซึ่งค่อนข้างรุนแรง เนื่องจากพระถูกกลั่นแกล้งจนได้รับบาดเจ็บ เมื่อทิลล์มาอาศัยอยู่ในโบสถ์แห่งหนึ่ง เขาได้รับมอบหมายให้นับจำนวนพระที่ทำพิธีมิซซาตอนกลางคืน ซึ่งเขาบ่นว่าเป็นงานที่ยุ่งยาก เขาถอดขั้นบันไดออกหนึ่งขั้นทำให้พระที่เดินลงบันไดตกบันไดกันเป็นแถว (Da fiel einer nach dem andern die Treppe herab.) พระรูปหนึ่งขาหัก จากเหตุการณ์ตอนนี้น่าจะแสดงให้เห็นว่าทิลล์ไม่ยอมลงให้พระทั้ง ๆ ที่เขามาอาศัยอยู่ด้วยและทำงานแลกเปลี่ยนกับอาหารและที่พัก เมื่อทิลล์ไม่พอใจงานที่ได้รับมอบหมายเขาจะกลั่นแกล้งพระแทนที่จะทำงาน หากทิลล์ทำงานตามที่ได้รับมอบหมายน่าจะหมายความว่า เขายอมรับอำนาจของพระที่มีเหนือตน นอกจากนี้การที่ทิลล์ไม่ยอมลงให้กับพระ อาจจะเนื่องจากบาทหลวงรูปนั้นยังไม่สามารถละกิเลสได้ และยังคงมีความเป็นปุถุชน ดังตัวอย่างเหตุการณ์ตอนที่พระรูปหนึ่งขอให้ทิลล์มอบสมบัติให้แก่ตนและจะสวดมนต์ส่งวิญญาณทิลล์ไปตลอดชีวิต แต่ทิลล์มิได้ให้อะไรและยังกลั่นแกล้งพระรูปนั้นด้วย อันที่จริงการแสวงหาหรือสะสมทรัพย์ศฤงคารในยุคสมัยนั้นถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ พระจำนวนไม่น้อยมิได้แตกต่างจากปุถุชนจึงไม่สมควรที่จะได้รับความเคารพและยกย่อง ด้วยเหตุนี้ทิลล์จึงปฏิเสธและต่อต้านอำนาจของกลุ่มพระ


คู่กรณีที่ทิลล์ชื่นชม

เป็นที่น่าสังเกตว่ากลุ่มเจ้านครรัฐและกลุ่มพระบางกลุ่มก็ไม่ตกเป็นเหยื่อการล้อเลียน เป็นไปได้มิใช่หรือที่จะกล่าวว่านิทานมุขตลกก็เปิดช่องสำหรับชื่นชมผู้มีอำนาจบางกลุ่มด้วย

ในเหตุการณ์ที่ทิลล์ได้วางแผนหลอกลวงเงินของเจ้านครรัฐ เมื่อเจ้านครรัฐแห่งเฮสเซนรู้ตัวว่าถูกหลอก แม้ว่าจะเสียใจที่ต้องสูญเสียเงินถึง 200 กุลเดนก็ไม่ได้คิดจะตามจับทิลล์ เพราะเมื่อคนเจ้าเล่ห์คนนั้นจะไม่มีวันกลับมานครรัฐของเขาอีก (Nun erkennen wir wohl, da฿ wir betrogen sind. Mit Eulenspiegel habe ich mich nie befassen wollen, dennoch ist er zu uns gekommen. Die zweihundert Gulden wollen wir zwar verschmerzen. Er aber wird ein Schalk bleiben und mu฿ darum unser F?rstentum meiden.) เจ้านครรัฐผู้นี้เป็นผู้มีเหตุผลพอที่จะยอมรับการเสียรู้ของตนและเข้าใจดีว่าทิลล์ไม่มีวันที่จะย้อนกลับมายังนครรัฐของตนอีก เนื่องจากการหลอกลวงเหยื่อคนเดียวกันครั้งที่สองย่อมจะไม่ประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ การที่เขาไม่ผูกใจเจ็บในการกระทำของทิลล์ น่าจะแสดงว่าเจ้านครรัฐผู้นี้เป็นผู้นำที่มีจิตใจไม่คับแคบและรู้จักให้อภัยคนเจ้าเล่ห์อย่างทิลล์ เหตุการณ์ตอนนี้นอกจากจะเล่าเกี่ยวกับกลอุบายที่แยบยลของทิลล์แล้ว อาจจะต้องการชื่นชมความมีเหตุผลและความใจกว้างของเจ้านครรัฐแห่งเฮสเซนด้วย

ความสัมพันธ์ระหว่างทิลล์กับพระราชาคณะแห่งเทรียร์ไม่ปรากฏความขัดแย้ง ทิลล์ขออนุญาตแสดงความเห็นโดยหวังว่าสิ่งที่ตนพูดนั้นท่านสังฆราชจะไม่โกรธเคือง "Darf ich das sagen, ohne da฿ Euer Gnaden mir deshalb z?rnen?" ซึ่งท่านสังฆราชรับปากและขอให้พูดอย่างตรงไปตรงมา "Ja,…Sag's nur frei heraus und scheue nichts!" ท่านสังฆราชรับฟังถ้อยคำที่ทิลล์กล่าววิจารณ์ท่าน และกลุ่มคนระดับผู้ปกครองว่าให้ความสำคัญกับทรัพย์ศฤงคารมากกว่าทุกข์สุขของประชาชน พระราชาคณะรับฟังโดยไม่ได้โต้แย้งใด ๆ ทิลล์ได้กลั่นแกล้งหรือเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นตลอดเวลา แต่เมื่อมีคนยินดีที่จะรับฟัง ทิลล์ก็จะแสดงความคิดเห็นของตนแก่คู่สนทนาโดยไม่ใช้กลอุบายกลั่นแกล้งผู้นั้น เนื่องจากพระราชาคณะซึ่งมีอำนาจและเป็นที่นับถือของคนทั่วไปมิได้แสดงอำนาจข่มทิลล์ และยินดีที่จะรับฟังความเห็นของเขาจึงทำให้ทิลล์มิได้กลั่นแกล้งพระองค์แต่อย่างใด จากเหตุการณ์นี้จึงน่าจะสื่อให้เห็นว่าตัวละครคนเจ้าปัญญามิได้เป็นวีรบุรุษที่ผิดแปลก ซึ่งชอบกลั่นแกล้งผู้อื่นเสมอไป ทิลล์ก็เป็นผู้ที่มีเหตุผลหากเผชิญหน้ากับผู้ที่มีเหตุผลเขาจะใช้เหตุผลด้วยเช่นกัน


คู่กรณีที่ถูกศรีธนญชัยยั่วล้อ

การกระทำของศรีธนญชัยแฝงการยั่วล้ออำนาจของกลุ่มพระเจ้าแผ่นดินและขุนนาง และกลุ่มพระ โดยทั่วไปบุคคลที่ถูกกลั่นแกล้งหรือล้อเลียนมักจะเป็นบุคคลที่มีฐานะสูงในสังคม เนื่องจากการยั่วล้อบุคคลระดับนี้ทำให้ศรีธนญชัยรู้สึกว่าตนเหนือกว่า ทั้ง ๆ ที่ตนมีสถานภาพทางสังคมต่ำกว่า

กลุ่มพระเจ้าแผ่นดินและขุนนาง

ความขัดแย้งระหว่างศรีธนญชัยกับพระเจ้าแผ่นดินไม่ปรากฏลักษณะที่รุนแรงต่อร่างกาย แต่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อจิตใจมากกว่า เนื่องจากการเสียรู้ข้าราชบริพารคนหนึ่งทั้ง ๆ ที่ตนเป็นประมุขสูงสุดของแผ่นดิน จึงรู้สึกอับอาย ในเหตุการณ์ตอนที่พระเจ้าแผ่นดินถูกศรีธนญชัยหลอกให้สูดกลิ่นผายลม พระองค์พิโรธอย่างที่ไม่ทรงเคยเป็นมาก่อนจนถึงกับตัดสินประหารชีวิตศรีธนญชัย แต่ศรีธนญชัยสามารถเอาตัวรอดจากโทษประหารชีวิตได้ (…ยกขึ้นจะทรงดม เหม็นแทบล้มลงกับที่ เสียงหึอึอัปรีย์ ยิ่งกว่าขี้ศรีสำราญ ทุดอ้ายไชยทำร้ายกาจ กริ้วเกรี้ยวกราดชาติเดียรฉาน…น่าอัประมาณหมู่นารี…คิดการจนเกินดี มันถึงที่จะวายปราณ…) ความอับอายที่เสียรู้ศรีธนญชัยมีมากเสียจนกระทั่งกลายเป็นความโกรธ อีกเหตุการณ์หนึ่ง ศรีธนญชัยหลอกพระเจ้าแผ่นดินให้คลานมาหาตนทำให้พระองค์กริ้วอีกครั้ง (พระองค์ทรงฟัง ถ้อยคำวัจนัง ด่าว่าอ้ายถ่อย แต่มันจะตาย กล่าวคดชดช้อย พูดเล่นยับย่อย ชั่วถ่อยหนักนา…)

ในสังคมไทย สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่วิจารณ์ไม่ได้ แต่ในเรื่องศรีธนญชัยเปิดโอกาสให้ตัวละครเอกซึ่งเป็นข้าราชบริพารคนหนึ่งได้ล้อเลียนผู้มีอำนาจสูงสุดแห่งแผ่นดิน การยั่วล้อของศรีธนญชัยส่งผลให้พระองค์ต้องทรงรู้สึกอับอาย อาจจะเป็นการบั่นทอนศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจของพระองค์ อันสืบเนื่องจากความบกพร่องทางด้านปัญญาหรือการขาดปฏิภาณ
ไหวพริบ ศรีธนญชัยกลั่นแกล้งพระเจ้าแผ่นดินด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การหลอกให้สูดกลิ่นผายลม การหลอกให้คลานเข้ามาหาตน เป็นต้น การกระทำดังกล่าวมีลักษณะก้าวร้าวและเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของพระเจ้าแผ่นดินในโลกแห่งความเป็นจริง แต่ในเรื่องศรีธนญชัยเป็นช่องทางให้คนธรรมดาได้หัวเราะเยาะผู้มีอำนาจ ที่ต้องเสียรู้

แม้ว่าความขัดแย้งระหว่างศรีธนญชัยกับพระเจ้าแผ่นดินเกิดขึ้นบ่อยครั้งและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อพระองค์ แต่ในบางครั้งพระองค์ทรงร่วมสนุกกับการแข่งขันความเจ้าปัญญาด้วย ดังตัวอย่างตอนที่พระองค์ท้าศรีธนญชัยให้ใช้ปัญญาลวงให้ลงไปในสระ (…แม้นเอ็งมีปัญญา อย่านิ่งช้าจงแก้ไข ลวงให้กูลงไป ในสระน้ำอย่านิ่งนาน จึงจะเห็นว่าฉลาด…) พระเจ้าแผ่นดินเป็นฝ่ายท้าทายศรีธนญชัย ดังนั้นเมื่อพระองค์ถูกลวงลงสระได้จึงให้รางวัล
ศรีธนญชัยตามที่สัญญาไว้ (…ลวงให้กูลงมา เห็นพร้อมหน้าทุกเสนี ขึ้นจากสระทรงเสด็จ ปูนบำเหน็จให้ตามที่…)

อย่างไรก็ตาม เมื่อบ้านเมืองเกิดภาวะคับขัน ศรีธนญชัยมักจะอาสาแก้ไขสถานการณ์วิกฤตนั้นให้ผ่านพ้นไปด้วยดี เมื่อเมืองของศรีธนญชัยถูกท้าพนันเอานครด้วยการแข่งขันดำน้ำ ไม่มีใครอาสาเข้าแข่ง ศรีธนญชัยเห็นพระมหากษัตริย์เศร้าหมองไม่สบายพระทัย จึงรับอาสาที่จะแก้ไขด้วยอุบายเพื่อมิให้เมืองอื่น ๆ ดูถูกได้ และเป็นการแสดงเกียรติยศของพระองค์ (…ธนญไชยฟังยุบลบรรหารตรัส เห็นจอมกษัตริย์เศร้าหมองไม่ผ่องใส จึงทูลว่าข้าพเจ้าจะเอาไชย มิให้ได้อายเขาเหล่าแขกเมือง จะขอสู้อาสาฝ่าพระบาท ให้แขกขยาดฝีมือเล่าฦาเลื่อง ด้วยอุบายคิดได้ไม่ฝืดเคือง ให้รุ่งเรืองพระเกียรติยศปรากฏไป…) ความสัมพันธ์ระหว่างศรีธนญชัยกับพระเจ้าแผ่นดินไม่ได้เป็นไปในลักษณะของความขัดแย้งตลอดเวลา บางครั้งศรีธนญชัยได้ใช้ความเจ้าปัญญาช่วยเหลือเจ้านายของตน

พระเจ้าแผ่นดินที่ปรากฏในนิทานเรื่องนี้เป็นผู้ที่มีเหตุผล สิ่งใดที่เป็นความจริงพระองค์จะยอมรับ เมื่อถูกศรีธนญชัยหลอกให้เสียรู้เรื่องยาที่จะทำให้เสวยพระกระยาหารได้มาก พระองค์รอยาจนรู้สึกหิวแสบท้องทนไม่ไหว จึงสั่งเครื่องมาเสวยและเสวยได้มาก ศรีธนญชัยจึงสรุปว่าอร่อยเมื่ออยากเสวย พระองค์ได้ฟังเช่นนั้นก็ขุ่นเคืองพระทัย แต่ก็เป็นความจริงจำต้องนิ่งเสีย (…จอมประชาตรัสว่าเจ้าหมอเอก…มันช่างว่าพลิกไพล่ได้ใจความ…ให้ขุ่นเคืองในพระทัยแต่ไม่ตรัส…)

ผู้มีอำนาจทางด้านการเมืองในสังคมไทยอีกกลุ่มหนึ่ง คือ ขุนนาง ความขัดแย้งระหว่างศรีธนญชัยกับขุนนางเกิดขึ้นในขณะที่ตัวละครเอกมีสถานภาพทางสังคมที่แตกต่างกัน ลักษณะแรกเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงมาก ได้แก่ การเผาบ้านของหลวงนาย การฆ่ากระบือของหลวงนายและการวางยาแม่ของหลวงนาย ความขัดแย้งดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่ศรีธนญชัยยังคงดำรงสถานภาพเป็นผู้ติดตามของหลวงนายในช่วงที่ยังเป็นผู้ไร้อำนาจ ตัวละครเอกมักจะยั่วล้อนายของตนด้วยการพลิกแพลงคำสั่งให้ผิดไปจากความคาดหมาย ซึ่งมักจะก่อให้เกิดการสูญเสียทรัพย์สิน จนกระทั่งหลวงนายต้องอยู่ในภาวะสิ้นเนื้อประดาตัว พฤติกรรมของ
ศรีธนญชัยในช่วงเวลาดังกล่าวขัดต่อบทบัญญัติทางกฎหมายและหลักทางศีลธรรมอย่างชัดเจน ซึ่งเกิดขึ้นได้ยากในโลกแห่งความจริง แต่ในโลกของนิทาน อาชญากรรมที่ผิดกฎหมายและศีลธรรมสามารถเกิดขึ้นอย่างง่ายดายโดยผู้กระทำผิดไม่ถูกลงโทษ

ความขัดแย้งลักษณะที่สองปรากฏหลังจากที่ศรีธนญชัยเป็นขุนนาง เขายังคงมีความขัดแย้งกับขุนนางในลักษณะของการล่อลวงทรัพย์สินจากบุคคลกลุ่มนี้ เมื่อศรีธนญชัยเข้าร่วมแข่งขันท้าพนันกับพวกเพื่อนที่เป็นขุนนางด้วยกัน ใครชนะก็ได้เงินรางวัล ศรีธนญชัยกล่าวว่าเขาสามารถทายใจบรรดาข้าราชการที่เข้าร่วมพนันทั้งหมดได้อย่างถูกต้อง เขาทายว่าข้าราชการทุกคนจงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดิน เหล่าขุนนางทุกคนยอมรับคำท้าทายของศรีธนญชัย ทำให้ได้เงินรางวัลมากมาย (…ทำไมกับเงินทอง มิตรึกตรองมากถมไป…มาเย็บถุงให้จงได้ ประมาณสักร้อยใบ กูจะใส่เงินห่อมา…ข้าพเจ้าจักพนัน เงินครามครันสักพันสอง…ฝ่ายทะนนไชยให้บ่าวขน เงินเหลือล้นเป็นนักหนา…) ความขัดแย้งระหว่างศรีธนญชัยเมื่อเป็นขุนนางกับเหล่าขุนนางด้วยกันยังคงรุนแรง เนื่องจากพวกเขาต้องอับอายจากการเสียรู้กลอุบายของศรีธนญชัยและยังสูญเสียทรัพย์สินอีกด้วย

กลุ่มพระ

ด้วยเหตุที่สังคมไทยเป็นสังคมพุทธศาสนา พระภิกษุจึงได้รับความยกย่องและนับถือจากพุทธศาสนิกชนชาวไทยส่วนใหญ่ แต่ศรีธนญชัยไม่เคารพพระภิกษุและยังกระทำการที่ล่วงเกินและรุนแรงต่อพระภิกษุด้วย เช่น หลอกดูลายก้นของสมภารเพื่อที่จะแกล้งท่านล้มจนได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกครั้งหนึ่งศรีธนญชัยเอาน้ำสาดสังฆราชเมื่อได้ยินว่าท่านโกรธดังไฟเผา การกลั่นแกล้งของศรีธนญชัยกับพระภิกษุเป็นไปในลักษณะที่รุนแรง

พระสังฆราชยังคงมีความโกรธ (...บัดนี้สังฆราช โปรดให้ข้าบาท มาแจ้งข่าวสาร ขึ้งโกรธพ้นใจ ดังไฟเผาผลาญ ร้อนเร่งรำคาญ เดือดดาลวิญญาณ์…) และสมภารยังคงมีความโลภในลาภ ยศ ชื่อเสียง (…สมภารใหญ่ใหลหลงง่วงงงยศ เชื่อเขาปดเชียงเมี่ยงไม่สืบสาว…เชียงเมี่ยงเห็นท่านขรัวอยากตัวสั่น…ไม่ระอานึกอยากยศไม่หาย…) พระสังฆราชและสมภารซึ่งถือครองสมณเพศและดำรงสมณศักดิ์สูงยังคงไม่อาจตัดความโกรธและความโลภได้ พฤติกรรมเช่นนี้น่าจะถือว่าเป็นการผิดศีลของพระภิกษุ และไม่สมควรที่จะได้รับความเคารพและยกย่องจากพุทธศาสนิกชน ดังนั้นพฤติกรรมของศรีธนญชัยซึ่งเป็นตัวละครเอกอาจจะน่าชื่นชมเมื่อสาดน้ำเพื่อดับความโกรธของสมภาร และถีบท่านจนได้รับบาดเจ็บเพื่อให้เจ็บและกลัวความโลภ พฤติกรรมของศรีธนญชัยที่มีต่อพระภิกษุอาจแฝงการเสียดสีสถาบันศาสนา ซึ่งพระภิกษุไม่เคร่งครัดกับกฎระเบียบของสงฆ์ หรือมีวิถีชีวิตที่ไม่ต่างจากฆราวาส พระภิกษุลักษณะดังกล่าวจึงน่าจะไม่ได้รับความเคารพนับถือจากพุทธศาสนิกชน นอกจากนี้ลักษณะนิสัยของพระภิกษุที่ยังโลภหรืออยากได้ยศศักดิ์สูงขึ้น หรือพระภิกษุที่ยังไม่สามารถละความโกรธได้อาจจะมีในสังคม ด้วยเหตุนี้ นิทานมุขตลกตอนนี้ได้สะท้อนการเล่าเกี่ยวกับพระภิกษุที่ยังตัดกิเลสไม่ได้

อย่างไรก็ตามพระภิกษุที่ถูกศรีธนญชัยกลั่นแกล้งล้วนดำรงสมณศักดิ์สูงได้แก่ ตำแหน่งสังฆราชและตำแหน่งสมภาร ศรีธนญชัยมิเคยแสดงความก้าวร้าวต่อพระภิกษุที่ไม่มีสมณศักดิ์

บทสรุป

คู่กรณีของตัวละครเอกซึ่งเป็นผู้ไร้อำนาจ คือ ผู้ใหญ่ในสังคม คำว่า " ผู้ใหญ่" หมายถึงผู้ที่มีอำนาจในสังคม แต่ละสังคมมีผู้ใหญ่หลายระดับ ผู้ใหญ่ในระดับครอบครัวคือพ่อกับแม่ ผู้ใหญ่ในระดับโรงเรียนคือครูอาจารย์ ผู้ใหญ่ในระดับหมู่บ้านคือผู้ใหญ่บ้าน หรือพระก็อาจจะเข้ามามีบทบาทด้วยในระดับชุมชน ผู้ใหญ่ในระดับรัฐคือผู้ปกครองรัฐหรือเจ้านครรัฐ ผู้ใหญ่ในระดับประเทศคือผู้ปกครองประเทศหรือพระเจ้าแผ่นดิน เกือบทุกสังคมจะมีผู้ใหญ่ในลักษณะดังกล่าวข้างต้น ผู้ใหญ่ในแต่ละสังคมอาจจะแตกต่างกันไปบ้างขึ้นอยู่กับลักษณะการปกครองของแต่ละสังคม ผู้ใหญ่ในสังคมของทิลล์ ออยเลนชะปีเกลประกอบด้วยกลุ่มช่างฝีมือและพ่อค้า กลุ่มครูอาจารย์ กลุ่มพระ และกลุ่มเจ้านครรัฐ ผู้ใหญ่ในสังคมของศรีธนญชัยประกอบด้วยพระเจ้าแผ่นดินและขุนนาง และพระ

ทิลล์ ออยเลนชะปีเกลยั่วล้อกลุ่มช่างฝีมือและพ่อค้าบ่อยที่สุดในขณะที่ศรีธนญชัยล้อเลียนพระเจ้าแผ่นดินบ่อยที่สุด

กลุ่มช่างฝีมือและพ่อค้ามีความสัมพันธ์กับทิลล์โดยตรง ในฐานะที่เป็นนายจ้างของเขา กลุ่มช่างฝีมือและพ่อค้ามีบทบาทในสังคมเมือง เนื่องจากเป็นเจ้าของกิจการส่วนใหญ่ในเมืองและเป็นกลุ่มที่กุมอำนาจการผลิตและการจัดสรรผลประโยชน์ทางการผลิต ซึ่งมักจะจำกัดอยู่ที่ผู้มีฐานะดีทางเศรษฐกิจเพียงจำนวนน้อย ในขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้มีฐานะมั่งคั่งและมักจะถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าของกิจการ ทิลล์จึงมักจะกลั่นแกล้งบุคคลกลุ่มนี้ด้วยการทำลายวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตและหลอกขายของปลอม ส่วนเศรษฐกิจในสังคมของศรีธนญชัยนั้น ตัวเขาเองนอกเหนือจากการเป็นขุนนางก็อยู่ในฐานะเป็นพ่อค้าสำเภาด้วยจึงไม่มีเหตุการณ์ต่อต้านอำนาจเจ้าของกิจการ

ผู้ที่ถูกศรีธนญชัยล้อเลียนบ่อยที่สุด คือพระเจ้าแผ่นดินซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดในระบอบการปกครองในสังคมของศรีธนญชัยที่เป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ นอกจากนี้พระองค์ยังเป็นเจ้านายของศรีธนญชัยด้วย ความขัดแย้งระหว่างศรีธนญชัยกับพระเจ้าแผ่นดินเป็นไปในลักษณะที่ทำให้พระเจ้าแผ่นดินเสียหน้า เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในความขัดแย้งกับผู้นำในระบอบการเมืองการปกครองในสังคมของทิลล์ คือ เจ้านครรัฐกับทิลล์ด้วยเช่นกัน และความขัดแย้งดังกล่าวสื่อถึงการปกครองในสังคมเยอรมันช่วงปลายยุคกลาง ซึ่งยังคงเป็นการปกครองที่แบ่งเป็นแว่นแคว้นต่าง ๆ เจ้านครรัฐแต่ละรัฐเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดเหนือดินแดนและผู้คนในดินแดนของตน อย่างไรก็ตาม บุคคลทั้งสองไม่ได้โจมตีระบบการเมืองในสังคมของตน

ทั้งทิลล์ ออยเลนชะปีเกลกับศรีธนญชัยต่างก็มีความขัดแย้งกับพระ ผู้คนในสังคมของทิลล์นับถือศาสนาคริสต์ ส่วนผู้คนในสังคมของศรีธนญชัยนับถือพุทธศาสนา ผู้ถือสมณเพศในนิทานทั้งสองเรื่องล้วนแต่ยังมีความโลภและความโกรธ จึงมักจะถูกบุคคลทั้งสองกลั่นแกล้งจนได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย

ทิลล์ยังได้ยั่วล้อกลุ่มครูอาจารย์ ความขัดแย้งคู่นี้สะท้อนให้เห็นว่าระบบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยเกิดขึ้นในสังคมเยอรมันตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 แต่สังคมของศรีธนญชัยยังไม่มีการศึกษาในระดับนั้น พระทำหน้าที่เผยแผ่ศาสนา อบรมศีลธรรมและสอนหนังสือกุลบุตร ศรีธนญชัยได้ยั่วล้ออำนาจของกลุ่มครูอาจารย์โดยการกลั่นแกล้งครูอาจารย์ซึ่งอยู่ในสถานภาพของพระ

ลักษณะของความขัดแย้งระหว่างทิลล์ ออยเลนชะปีเกลกับศรีธนญชัย ซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนของผู้ไร้อำนาจและคู่กรณีที่เป็นเสมือนตัวแทนของผู้มีอำนาจ มักจะเป็นไปในลักษณะของการยั่วล้อ การดื้อแพ่ง การกลั่นแกล้งเพื่อให้สนุก เจ็บและโกรธ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้ง ระหว่างทิลล์ ออยเลนชะปีเกลกับศรีธนญชัย มักจะส่งผลให้คู่กรณีต้องรู้สึกอับอายหรือเสียหน้า และบางครั้งทรัพย์สินถูกทำลายเสียหาย

จากการศึกษาความขัดแย้งระหว่างตัวละครเอกกับคู่กรณีซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในสังคมในนิทานมุขตลกทั้งสองเรื่องนี้ อาจได้ข้อสรุปว่าความขัดแย้งระหว่างตัวละครเอกและคู่กรณี มักจะแฝงการบอกเล่าข้อมูลทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับโครงสร้างของสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นในสังคม แบบแผนและกรอบของสังคม โดยที่ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นในเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏในนิทานทั้งสองเรื่องมักจะสะท้อนให้เห็นถึงความไม่พอใจของผู้ไร้อำนาจที่มีต่อผู้ที่มีอำนาจในสังคม แต่เนื่องจากระบบสังคมไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายผู้ไร้อำนาจสะท้อนความไม่พอใจได้อย่างเปิดเผย จึงได้ใช้มุขตลกเป็นศาสตราวุธในการตอบโต้


* ศิริพร ศรีวรกานต์ อาจารย์ประจำภาควิชาวรรณคดีเปรียบเทียบ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Stith Thompson, The Folktale, (California : University of California Press, 1977), p. 10.
ศิราพร ฐิตะฐาน ณ ถลาง, ในท้องถิ่นมีนิทานและการละเล่น (กรุงเทพมหานคร : มติชน, 2537), หน้า 20.
Paul Radin, The Trickster, 4th ed. (New York : Shockenbooks, 1978), p. 204.
Sigmund Freud, Jokes and their Relation to the Unconscious, trans. Angela Richards (Great Britain: Penguin Books, 1976), p. 148.
G?nther and Irmgard Schweikle, "Schwank", Metzler Literatur Lexikon (1984) : 418-419.
อำภา โอตระกูล, "ศรีธนญชัยเยอรมัน", วารสารอักษรศาสตร์ 20 (มกราคม 2531) : 41.
Manfred Kummer, "Siithanonchai - Ein Thailไndisches Volksbuch", in Tai Culture (Berlin : Seacom S?dostasien - Gesellschaft, 1997), p. 90.
คำว่า "อำนาจ" ในที่นี้ตรงกับคำว่า "authority" ในภาษาอังกฤษ ซึ่งหมายถึงความสามารถที่ทำให้บุคคลซึ่งอยู่ใต้อำนาจนั้นยอมรับข้อกำหนด สิทธิ และหน้าที่ โดยถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย
Ibid. , p. 142.
Ibid. , p. 88.
Ibid. , p. 88.
Ibid. , p. 72.
ศิราพร ฐิตะฐาน ณ ถลาง, ในท้องถิ่นมีนิทานและการละเล่น, หน้า 20.
Hermann Bote, Till Eulenspiegel, (Frankfurt/M: Insel, 1981) p. 80.
Ibid. , p. 236.
Ibid. , p. 86.
Ibid. , p. 73.
Roger D. Abrahams, "Trickster, the Outrageous Hero," in American Folklore, ed. Tristram Coffin III. (the United States: Voice of American Forum Lecture, 1968), p. 193.
กรมศิลปากร, ศรีทะนนไชยสำนวนกาพย์และลิลิตตำรานพรัตน์, พิมพ์ครั้งที่ 3, (พระนคร:
ศรีเมือง, 2511) หน้า 38-39.
เล่มเดียวกัน, หน้า 96.
ศิราพร ฐิตะฐาน ณ ถลาง, ในท้องถิ่นมีนิทานและการละเล่น, หน้า 21.
เล่มเดียวกัน, หน้า 21.
กรมศิลปากร, ศรีทะนนไชยสำนวนกาพย์และลิลิตตำรานพรัตน์, หน้า 42.
เล่มเดียวกัน, หน้า 43.
หอพระสมุดวชิรญาณ, เสภาเรื่องศรีธนญไชยเชียงเมี่ยง, (พระนคร: โสภณพิพรรฒธนากร, 2463), หน้า 62.
เล่มเดียวกัน, หน้า 15.
กรมศิลปากร, ศรีทะนนไชยสำนวนกาพย์และลิลิตตำรานพรัตน์, หน้า 44-47.
เล่มเดียวกัน, หน้า 32.
หอพระสมุดวชิรญาณ, เสภาเรื่องศรีธนญไชยเชียงเมี่ยง, หน้า 24.
กัญญรัตน์ เวชชศาสตร์, การศึกษาเปรียบเทียบเรื่องศรีธนญชัยฉบับต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาภาษาไทย บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2520, หน้า 162.

บรรณานุกรม

กอบเกื้อ สุวรรณทัต-เพียร. ประวัติศาสตร์ยุโรปสมัยกลาง. กรุงเทพมหานคร: สมาคม
สังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, 2534.
กัญญรัตน์ เวชชศาสตร์. การศึกษาเปรียบเทียบเรื่องศรีธนญชัยฉบับต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออก
เฉียงใต้. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาภาษาไทย บัณฑิตวิทยาลัย
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2520.
เจตนา นาควัชระ. ทฤษฎีเบื้องต้นแห่งวรรณคดี. กรุงเทพมหานคร: ดวงกมล, 2521.
รอง ศยามานนท์, ดำเนิร เลขะกุล และ วิลาศวงศ์ นพรัตน์. ประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงศรี
อยุธยา: แผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ถึงแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวร
มหาราช. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี, 2515.
ศิราพร ฐิตะฐาน ณ ถลาง. ในท้องถิ่นมีนิทานและการละเล่น. กรุงเทพมหานคร: มติชน, 2537.
ศิลปากร, กรม. ศรีทะนนไชยสำนวนกาพย์และลิลิตตำรานพรัตน์. พิมพ์ครั้งที่ 3. พระนคร:
ศรีเมือง, 2511.
สมบัติ จันทรวงศ์. "ศรีทะนนไชย ความคิดเรื่องอำนาจ ปัญญา และความหมายทางการเมือง.
ใน บทพิจารณ์ว่าด้วยวรรณกรรมการเมืองและประวัติศาสตร์. กรุงเทพมหานคร:
ไว้ลาย, 2540.
หอพระสมุดวชิรญาณ.เสภาเรื่องศรีธนญไชยเชียงเมี่ยง. พระนคร: โสภณพิพรรฒธนากร, 2463.
อำภา โอตระกูล. "ศรีธนญชัยเยอรมัน", วารสารอักษรศาสตร์. 20 (มกราคม 2531).
ฮูแบร์ตุส ซู เลอเวนสไตน์. ประวัติศาสตร์เยอรมัน. แปลโดย นิธิ เอียวศรีวงศ์ พระนคร:
สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, 2521.
Bote, H. Till Eulenspiegel. Frankfurt/M: Insel, 1981
Conze, W. and Hentschel, V. Eds. Deutsche Geschichte. 5th ed. Germany: Ploetz,
1991.
Dundes, A. The Study of Folklore. Chicago: The University of Chicago Press. 1967.
Forstmann, W. ed. Geselle. Schuler-Duden: Die Geschichte, 1988.
Gosmann, W. Deutsche Kulturgeschichte im Grundriss. 5th ed. Germany: Max Huber,
1978.
Krellt, L. and Fiedler, L. Deutsche Literaturgeschichte. 16th ed. Germany:
C.C. Buchners, 1976.
Kummer, M. "Srithanonchai - Ein Thailไndisches Volksbuch", in Tai Culture.
Berlin: Seacom S?dostasien - Gesellschaft, 1997.
Radin, P. The Trickster. 4th ed. New York: Shockenbooks, 1978.
Roger, D. A. "Trickster, the Outrageous Hero," in American Folklore. ed. Tristram Coffin III. United States: Voice of American Forum Lecture, 1968.
Schweikle, G. and I. "Schwank", Metzler Literatur Lexikon. 1984.
Thompson, S. The Folktale. California: University of California Press, 1977.