การฟื้นฟูบูรณะค่ายบางระจันและวัดโพธิ์เก้าต้น

 

สภาพของค่ายบางระจันก่อนการบูรณะ

ในบันทึกเรื่อง "การสำรวจของโบราณในเมืองไทย" ของ พันเอกหลวงรณสิทธิพิชัย (เจือ กาญจนินทุ) เมื่อยังดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากร กล่าวถึงสภาพของค่ายบางระจันซึ่งท่านได้เดินทางไปสำรวจในปี พ.ศ. 2493 ว่า  (1) 

"ตัวค่ายเวลานั้นเป็นเพียงเนินดินสูงและขาดเป็นห้วงๆ ยาวทั้งสิ้น 1,200 เมตร โค้งโอบรอบบึง ซึ่งเดิมเป็นคลองบางระจันเป็นรูปก้ามปู"

หลักฐานในพงศาวดารกล่าวว่า "นายแท่นกับผู้มีชื่อเสียงเหล่านั้นชักชวนคนได้ 400 เศษ มาตั้งค่ายมั่นอยู่ที่บ้านบางระจันทั้งสองค่าย" และ " ทัพพม่าพระนายกองก็ยกติดตามมาถึงบ้านขุนโลกใกล้ค่ายบางระจัน... แล้วตั้งค่ายใหญ่ลงที่นั้นรักษามั่นอยู่ ทัพบ้านระจันออกตีเป็นหลายครั้งไม่แตกก็เลยเสียน้ำใจท้อถอย พระนายกองจึงให้ขุดอุโมงค์เดินเข้าไปใกล้ค่ายบางระจัน แล้วปลูกหอรบขึ้นสูง เอาปืนใหญ่ยิงเข้าไปในค่าย ต้องไทยตายเป็นอันมาก และตีเอาค่ายน้อยบ้านบางระจันได้ ยังแต่ค่ายใหญ่" ต่อมา " ครั้นถึง ณ วันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือน 8 ปีจอ อัฐศก พม่าก็ยกตีค่ายใหญ่บ้านระจันแตก"

หลักฐานเหล่านี้แสดงว่าค่ายบ้านบางระจันมีอยู่ 2 ค่าย คือ ค่ายเล็ก และค่ายใหญ่ มีปัญหาว่าค่ายเล็กนั้นตั้งอยู่ที่ไหน ห่างจากค่ายใหญ่เท่าใด ถ้าสันนิษฐานตามความจริงที่ควรเป็นค่ายเล็กกับค่ายใหญ่ก็คงจะอยู่ไม่ไกลกันนัก เพื่อสะดวกในการส่งข่าว เสบียงอาหาร อาวุธ ตลอดจนกำลังคน เมื่อสุกี้ตั้งค่ายใหญ่ที่บ้านขุนโลกแล้ว อาจตั้งค่ายเล็กอีกค่ายหนึ่งระหว่างค่ายบ้านขุนโลกและค่ายเล็กบางระจัน ฉะนั้นจึงสามารถขุดอุโมงค์เดินเข้าไปใกล้ค่ายบางระจัน จนสามารถปลูกหอรบขึ้นสูง นำปืนใหญ่ขึ้นยิงจนค่ายน้อยบ้านบางระจันแตก

การที่พม่าจะขุดอุโมงค์จากค่ายใหญ่บ้านขุนโลกมายังค่ายบางระจันย่อมเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากมีคลองบางระจันกั้นอยู่

อย่างไรก็ตาม เมื่อค่ายบางระจันทั้งสองแตก พม่าย่อมเผาทำลายเพื่อไม่ให้ไทยใช้เป็นที่ซ่องสุมผู้คนได้อีก ประกอบกับกาลเวลาได้ล่วงเลยถึง 209 ปี สภาพทางภูมิศาสตร์ตลอดจนหลักฐานต่างๆย่อมเปลี่ยนแปลงไป ฉะนั้นหลักฐานเกี่ยวค่ายบางระจันจึงเหลือเพียงเนินดินซึ่งขาดเป็นตอนๆตามแนวขอบคลองบางระจันเท่านั้น เนินดินนี้กว้าง 12 เมตร ยาว 300 เมตร เนินดินเหล่านี้อยู่ทางใต้ของวัดโพธิ์เก้าต้น ก่อนการบูรณะขุดแต่งมีหญ้าตลอดจนวัชพืชอื่นๆ ปกคลุมอยู่ทั่วไป

 

การสร้างค่ายบางระจันจำลอง

ในการประชุมคณะกรรมการฟื้นฟูบูรณะค่ายบางระจัน ครั้งที่ 1 / 2513 วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2513 อธิบดีกรมการศาสนาเสนอต่อที่ประชุมว่า สมควรจะสร้างค่ายบางระจันจำลอง และซุ้มประตูค่ายขึ้นใหม่ ทั้งนี้เพื่อทำให้ประชาชนผู้ผ่านเข้าชมเกิดความประทับใจและสนใจในประวัติศาสตร์มากยิ่งขึ้น ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานคณะกรรมการฯ จึงสนับสนุนว่าเป็นข้อเสนอที่ดี หากมีเงินเหลือจากการฟื้นฟูบูรณะค่ายบางระจันก็ไม่ขัดข้องและควรให้กรมศิลปากรออกแบบเพื่อความถูกต้องตามหลักข้อเท็จจริง ทั้งให้ใกล้เคียงลักษณะป้อมค่ายในสมัยโบราณมากที่สุด

กรมศิลปากรได้มอบให้ นายประเวศ ลิมปรังษี สถาปนิกเอก หัวหน้าแผนกออกแบบกองสถาปัตยกรรมเป็นผู้ออกแบบ ผู้ออกแบบได้ศึกษาลักษณะป้อมค่ายจากพงศาวดารต่างๆ ภาพจิตรกรรมฝาผนัง และป้อมค่ายโบราณที่มีอยู่ ในชั้นแรกได้ศึกษาจากภาพจิตรกรรมฝาผนังในวิหารวัดสุวรรณดาราราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นภาพสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงคาบพระแสงดาบนำทหารขึ้นปีนระเนียดจะเข้าค่ายพระเจ้าหงสาวดีในวันขึ้น 10 ค่ำ เดือน 4 ปีจอ พ.ศ. 2129 ภาพจิตรกรรมฝาผนังนี้ ทำให้เข้าใจว่า ค่ายสร้างด้วยไม้ไผ่ (2) แต่เมื่อได้พิจารณาจากหนังสือพงศาวดารต่างๆที่กล่าวถึงการสร้างค่าย เช่น ประชุมจดหมายเหตุเกี่ยวกับเขมรและญวนในรัชกาลที่ 3 (3) ประวัติการของจอมพลและมหาอำมาตย์เอกเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต) (4) และหนังสือโคลงภาพพระราชพงศาวดาร(5) ตลอดจนร่องรอยค่ายยั้งทัพสมเด็จพระนเรศวร-มหาราชที่เมืองงาย อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ครั้งที่เสด็จยกทัพไปตีกรุงอังวะ ใน พ.ศ.2142 ซึ่งมีรั้วค่ายเป็นไม้สักผ่าซีกขนาดใหญ่เหลืออยู่Ùè (6) จึงทำให้เข้าใจว่าค่ายบางระจันในสมัยที่เกิดสงครามกับพม่านั้นคงจะสร้างด้วยไม้จริง เพื่อความมั่นคงแข็งแรง และคงจะสร้างด้วยไม้เบญจพรรณซึ่งหาได้ในท้องถิ่นนั้น ดังนั้น ค่ายบางระจันจำลองที่จะสร้างขึ้นนี้ จึงใช้ไม้เบญจพรรณ

 

ลักษณะค่าย

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานฉบับพิมพ์ พ.ศ. 2493 อธิบายคำว่า "ค่าย" ว่า ที่พักของกองทัพ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายเกี่ยวกับเรื่องค่ายไว้ในลายพระหัตถ์ถึงสมเด็จฯเจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ว่า (7)

"ค่าย คู ประตู หอรบ" รวมสิ่งซึ่งสร้างสำหรับป้องกันศัตรูอยู่ใน 4 คำนี้หมด ยังมีรอยที่ตั้งทัพรบศึกครั้งสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ปรากฏอยู่ในแขวงจังหวัดกาญจนบุรีและสุพรรณบุรี รอยที่ตั้งทัพครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกรบพม่าก็ยังปรากฏอยู่ที่เมืองไทรโยค ดูลักษณะเหมือนกันหมด เมื่อทำนั้น ขุด "คู"รอบๆ เอาดินที่ขุดขึ้นพูนทำเชิงเทินข้างในตลอดแนวคู มี "ประตู"ทางเข้าออกเป็นระยะ ทำเชิงเทินยื่นออกไปเป็น "หอรบ" เป็นระยะสำหรับยิงศัตรูทางด้านสกัด ที่บนเชิงเทินเอาไม้ปัก "ค่าย" บังตัวคนที่ต่อสู้มิให้ถูกศัสตราวุธ และบังตาศัตรูด้วย ที่ตั้งทัพที่เขาเรียกรวมว่า "ค่าย" ประกอบด้วยองค์ 4 อันมีชื่อเรียกในภาษาไทยดังกล่าวมา"

ค่ายบางระจันจำลองที่สร้างขึ้น ถือว่าเป็นอนุสาวรีย์ จึงเพียงแต่สันนิษฐานให้ใกล้ ความจริงที่สุด ซึ่งประกอบด้วยเชิงเทิน ระเนียด ป้อมและหอคอย 5 ป้อม (8) คือป้อมใหญ่ 2 ป้อมป้อมเล็ก 3 ป้อม อยู่ที่มุมทิศตะวันออกป้อมหนึ่ง และทางทิศตะวันตก 2 ป้อม ตัวป้อมสูง 8 เมตรกว้าง 4.60 เมตร มีหอคอยหลังคาเหลี่ยมทรงคล้ายมณฑป มุงด้วยหญ้าคาหรือแฝกกว้าง 2.50 เมตร เฉพาะป้อมใหญ่มีพื้น 3 ชั้น ป้อมเล็กมี 2 ชั้น มีบันไดขึ้นลง กำแพงค่ายหรือระเนียดใช้ไม้เนื้อแข็งทุบเปลือกทาด้วยน้ำมันดิน กำแพงป้อมรักษาการมีลักษณะการเรียงเสาสามต้นให้สูงขึ้นมา สลับกับเสาสองต้นเป็นระยะสำหรับกำบังตัวตามแบบใบเสมาของกำแพง ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า ลูกป้อม

เสาระเนียดทั้งหมดเสี้ยมปลายแหลมปักอยู่ในคอนกรีตซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับดินเดิม 1 เมตร วิธีนี้จะทำให้ค่ายตั้งอยู่ทนนานกว่าฝังเสาในดินธรรมดา หลังค่ายยกเป็นเนินดินสูงประมาณ 1.20 เมตร ค่ายบางระจันจำลองนี้มีความยาวทั้งหมดประมาณ 175.25 เมตร ค่าก่อสร้างใช้งบประมาณของจังหวัดสิงห์บุรี เป็นเงิน 150,000 บาท เริ่มก่อสร้างประมาณเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515 โดยบริษัทประยงค์สหการก่อสร้างจำกัด สร้างเสร็จประมาณเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2515

 

สถานที่ตั้งอนุสาวรีย์

จังหวัดสิงห์บุรีได้จัดซื้อที่ดินฝั่งถนนตรงข้ามค่ายบางระจัน 100 ไร่ เมื่อ พ.ศ. 2508 เพื่อใช้เป็นที่ตั้งอนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจัน และจะจัดเป็นอุทยานสำหรับพักผ่อนด้วย ในการประชุมในวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2509 ผู้ว่าราชการจังหวัดเสนอว่าจะขอใช้ที่ดิน 15 ไร่ เป็นที่ก่อสร้างสถานที่ทำการกิ่งอำเภอค่ายบางระจันตลอดจนบ้านพักข้าราชการ ฉะนั้น เพื่อให้แผนผังสอดคล้องกลมกลืนกับอนุสาวรีย์ คณะกรรมการจึงขอให้กรมศิลปากรเป็นผู้ออกแบบผังอนุสาวรีย์ตลอดจนที่ตั้งอาคารสถานที่ราชการทั้งหมด ส่วนอนุสาวรีย์นั้นจะต้องสร้างให้ได้แนวกับวิหาร พระอาจารย์ธรรมโชติหลังเดิม หันหน้าอนุสาวรีย์มาทางค่ายบางระจัน

แผนผังบริเวณทั้งหมดนี้ นางจันทร์ลัดดา น้ำทิพย์ สถาปนิกเอก (9)กองสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร เป็นผู้ออกแบบ

กรมศิลปากรได้เสนอหุ่นจำลองอนุสาวรีย์วีรชน หุ่นจำลองพระอาจารย์ธรรมโชติ ตลอดจนหุ่นจำลองผังบริเวณที่ตั้งอนุสาวรีย์ สถานที่ตั้งหน่วยราชการกิ่งอำเภอค่ายบางระจันต่อคณะกรรมการในการประชุมวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2509 คณะกรรมการลงมติเห็นชอบรูปจำลองอนุสาวรีย์และอนุมัติให้ดำเนินการปั้นหล่อได้ ครั้นเมื่อพิจารณาแผนผังอนุสาวรีย์และอาคารสถานที่ราชการแล้ว เห็นว่าอยู่ใกล้อนุสาวรีย์มากเกินไปจะทำให้อนุสาวรีย์ขาดความสง่างาม ควรย้ายสถานที่ราชการไปไว้ในที่ดินแปลงอื่น ที่ดิน 100 ไร่นี้จะใช้สำหรับสร้างอนุสาวรีย์อย่างเดียว บริเวณที่เหลือจัดทำเป็นอุทยาน

 

การปั้นรูปหล่ออนุสาวรีย์

กองหัตถศิลป กรมศิลปากร เริ่มดำเนินการปั้นรูปต่างๆด้วยดินเหนียว ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2509 เดือนมกราคม พ.ศ. 2510 รูปปั้นแล้วเสร็จเป็นส่วนใหญ่เหลือแต่รูปนายทองเหม็นขี่กระบือ และแผ่นแสดงเหตุการณ์ 2 แผ่น กับจารึก 1 แผ่น เนื่องจากรูปปั้นบางรูปใกล้จะเสร็จถึงขั้นถอดพิมพ์จากดินเหนียวเป็นปูนปลาสเตอร์ได้แล้ว ฉะนั้นกรมศิลปากรจึงเชิญคณะกรรมการมาตรวจพิจารณาในวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2510 คณะกรรมการอนุมัติให้ดำเนินการขั้นต่อไปได้ อนึ่ง ขณะดำเนินการปั้นรูปอนุสาวรีย์นั้น กองหัตถศิลปได้ส่งนาย บุญส่ง นุชน้อมบุญ ช่างปั้นผู้หนึ่งไปติดต่อขอถ่ายภาพและสเก็ตช์แบบอาวุธตลอดจนปืนสมัยอยุธยาจากพิพิธภัณฑ-สถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยาประกอบการปั้นด้วย

เมื่อถอดพิมพ์รูปปั้นอนุสาวรีย์เป็นปูนปลาสเตอร์แล้ว คณะกรรมการได้มาตรวจพิจารณาในวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2510 อนุมัติให้หล่อเป็นรูปโลหะ

ส่วนแผ่นภาพประกอบแท่นฐานอนุสาวรีย์นั้น คณะกรรมการมีมติว่า การมีภาพประกอบ จะทำให้แท่นฐานมีลักษณะขาดความแข็งแรงมั่นคง และในแผ่นภาพมีเรื่องราวซ้ำกับท่าทางของภาพปั้นอนุสาวรีย์ ทั้งจะทำให้กลุ่มอนุสาวรีย์วีรชนทั้ง 11 ขาดความเด่นลงได้ ฉะนั้นจึงขอให้ตัดออก

กรมศิลปากรได้ดำเนินการปั้นหล่ออนุสาวรีย์เป็นรูปโลหะเสร็จเรียบร้อยพร้อมที่จะนำไปติดตั้งได้ในพ.ศ. 2512

ช่างปั้นที่ร่วมงานมี นายสนั่น ศิลากรณ์ นายสุกิจ ลายเดช นายอนิก สมบูรณ์ นายประเทือง ธรรมรักษ์ นายพนม สุวรรณนารถ นายขวัญเมือง ยงประยูร นายบุญส่ง นุชน้อมบุญ นายสาโรช จารักษ์ นายแหลมเทียน คชะภูติ นายสุนทร ศรีสุนทร ได้ปั้นรูปวีรชนดังนี้

พระอาจารย์ธรรมโชติ นายสนั่น ศิลากรณ์ ผู้ปั้น
นายทองแสงใหญ่ นายประเทือง ธรรมรักษ์ ผู้ปั้น
นายอิน นายสุกิจ ลายเดช ผู้ปั้น/ นายสุนทร ศรีสุนทร ผู้ช่วย
นายทองแก้ว นายสนั่น ศิลากรณ์ ผู้ปั้น
นายเมือง นายขวัญเมือง ยงประยูร ผู้ปั้น
พันเรือง นายอนิก สมบูรณ์ ผู้ปั้น
นายดอก นายพนม สุวรรณนารถ ผู้ปั้น
นายจัน นายสนั่น ศิลากรณ์ ผู้ปั้น / นายสาโรช จารักษ์ ผู้ช่วย
ขุนสรรค์ นายบุญส่ง นุชน้อมบุญ ผู้ปั้น
นายโชติ นายแหลมเทียน คชะภูติ ผู้ปั้น
นายทองเหม็น นายสุกิจ ลายเดช ผู้ปั้น
นายแท่น นายสุกิจ ลายเดช ผู้ปั้น
กระบือ นายสนั่น ศิลากรณ์ ผู้ปั้น

 

อนุสาวรีย์พระอาจารย์ธรรมโชติ
และวิหารจตุรมุข

ความคิดริเริ่มเกี่ยวกับการสร้างวิหารพระอาจารย์ธรรมโชติจำลอง เริ่มเมื่อ พ.ศ. 2509 เนื่องจากคณะกรรมการฟื้นฟูบูรณะค่ายบางระจันเห็นว่าพระอาจารย์ธรรมโชติเป็นพระสงฆ์ ไม่ควรสร้างอนุสาวรีย์อยู่กับวีรชนค่ายบางระจันที่เป็นฆราวาส (10) ฉะนั้นจึงขอให้กรมศิลปากรออกแบบรูปหล่ออนุสาวรีย์พระอาจารย์ธรรมโชติ และวิหารที่จะประดิษฐานอนุสาวรีย์เพื่อให้คณะกรรมการพิจารณา

กรมศิลปากรได้เสนอหุ่นจำลองอนุสาวรีย์พระอาจารย์ธรรมโชติต่อคณะกรรมการเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2509 นายสนั่น ศิลากรณ์ ช่างศิลปเอกกองหัตถศิลป กรมศิลปากร เป็นผู้ออกแบบ คณะกรรมการพิจารณาแล้วมีมติเห็นชอบ แต่ขอให้แก้ไขฐานรองรับรูปพระอาจารย์ธรรมโชติให้ลดลง ให้มีลักษณะใกล้เคียงกับความเป็นจริง เช่นนั่งบนตั่งกำลังบริกรรมทำน้ำพระพุทธมนต์เป็นต้น และอนุมัติให้ดำเนินการปั้นหล่อตามแบบได้

รูปพระอาจารย์ธรรมโชติ ปั้นเป็นรูปพระภิกษุสูงอายุ ขนาดเท่าจริงนั่งขัดสมาธิหลับตาในท่าบริกรรม มือทั้ง 2 วางซ้อนกันเหนือตัก มีสายตะกรุดและมงคลอยู่ในมือ รูปอนุสาวรีย์หล่อด้วยโลหะทองเหลืองผสมทองแดง ทาน้ำยารมดำ นอกจากนี้มีสิ่งประกอบอนุสาวรีย์คือ

1. บาตรน้ำมนต์ หล่อด้วยทองเหลืองผสมทองแดง
2. ราวเทียน เป็นรูปดาบหล่อด้วยทองเหลืองผสมทองแดง
3. กระถางธูป หล่อด้วยทองเหลืองผสมทองแดง

กองหัตถศิลปได้เริ่มดำเนินการปั้นหุ่นพระอาจารย์ธรรมโชติด้วยดินเหนียวพร้อมกับรูปวีรชนอื่นๆ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2509 ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2510 ก็พร้อมที่จะถอดพิมพ์เป็นปูนปลาสเตอร์ได้ คณะกรรมการฟื้นฟูบูรณะค่ายบางระจันได้มาตรวจพิจารณารูปปั้นในวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2510 และได้ตรวจพิจารณารูปปลาสเตอร์ ณ โรงปั้นหล่อ กองหัตถศิลป กรมศิลปากร ในวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2510 มีมติให้ดำเนินการหล่อรูปโลหะได้ กองหัตถศิลปดำเนินการเสร็จในปี พ.ศ. 2512

 

การก่อสร้างวิหารจตุรมุข

วิหารสำหรับประดิษฐานรูปอนุสาวรีย์พระอาจารย์ธรรมโชติ นายประเวศ ลิมปรังษี สถาปนิกเอก กองสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร เป็นผู้ออกแบบ เป็นวิหารจตุรมุข มีบันไดทางขึ้น 3 ทาง ได้เสนอแบบแปลนวิหารให้คณะกรรมการพิจารณา พร้อมกับรูปหุ่นจำลองพระอาจารย์ธรรมโชติ เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2509 และได้รับการเห็นชอบจากคณะกรรมการ

เริ่มก่อสร้างในพ.ศ. 2513 จังหวัดสิงห์บุรีเป็นผู้เรียกประกวดราคาจ้างเหมาบริษัทพรหมวิวัฒน์ประมูลได้ในราคา 220,000 บาท เมื่อเริ่มขุดหลุมรากฐานตามผังได้ศูนย์หันหน้าตรงกับอนุสาวรีย์วีรชน วิหารใหม่ไม่ขนานกับวิหารเดิม เจ้าอาวาสวัดโพธิ์เก้าต้นเสนอว่า ราษฎรอยากให้รูปพระอาจารย์ธรรมโชติหันหน้าไปทางทิศตะวันออกตามวิหารเดิม คณะกรรมการจึงมีมติให้สร้างวิหารให้ขนานกับวิหารเดิม วิหารหันหน้าตรงกับอนุสาวรีย์วีรชน (11) และหันหน้ารูปพระอาจารย์ธรมโชติไปทางทิศตะวันออก วิหารใหม่นี้อยู่ทางทิศเหนือของวิหารเดิม เมื่อปักผังจึงให้วิหารตั้งฉากกับแกนซึ่งวัดจากแกนศูนย์กลางวิหารเก่าเป็นเส้นตรงถึงศูนย์อนุสาวรีย์วีรชน สร้างเสร็จใน พ.ศ. 2515 พร้อมด้วยแท่นหินอ่อนภายในสำหรับตั้งอนุสาวรีย์ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 310,000 บาท ใช้งบประมาณสลากกินแบ่งส่วนของจังหวัดและกองหัตถศิลป กรมศิลปากร ได้จัดทำจารึกหินอ่อนประกาศเกียรติคุณพระอาจารย์ธรรมโชติติดไว้ที่วิหารด้วย

ในคราวที่ ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เดินทางไปตรวจการก่อสร้างตามโครงการฟื้นฟูบูรณะค่ายบางระจัน เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2515 มีความเห็นว่าวิหารพระอาจารย์ธรรมโชติสร้างเสร็จแล้ว หากอัญเชิญอนุสาวรีย์เข้าไปประดิษฐานภายในจะมีผู้เข้าไปปิดทองที่รูปอนุสาวรีย์มาก อาจจะทำให้อนุสาวรีย์สกปรกและชำรุดง่าย เห็นว่าไม่สมควรให้ปิดทองที่องค์จริง แต่ควรสร้างองค์จำลองขนาดเล็กกว่าของจริงไว้ที่หน้าวิหาร (กลางแจ้ง) ทำซุ้มมีหลังคา และควรมีที่บูชาเป็นต้นว่ากระถางธูป ราวเทียน ตลอดจนที่วางดอกไม้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่มาสักการะ แต่มิได้จัดสร้างตามคำแนะนำ เพราะคณะกรรมการพิจารณาเห็นว่าควรปล่อยให้เป็นไปตามศรัทธาของประชาชน

จังหวัดสิงห์บุรี ได้จัดขบวนแห่อัญเชิญรูปอนุสาวรีย์พระอาจารย์ธรรมโชติจาก กรมศิลปากรในวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2517 เวลา 13.00 น. ประดิษฐานที่ศาลากลางจังหวัด สิงห์บุรี ให้ประชาชนได้สักการะและสรงน้ำเนื่องในเทศกาลสงกรานต์เป็นการชั่วคราว รุ่งขึ้นจึงอาราธนาไปยังวิหาร ณ วัดโพธิ์เก้าต้นเพื่อทำบุญฉลองอีกครั้งหนึ่ง

 

คำจารึกอนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจัน และจารึกวิหารพระอาจารย์ธรรมโชติ

ร่างคำจารึกครั้งที่ 1

ในการดำเนินงานปั้นหล่อและจัดทำคำจารึกอนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจัน กรม-ศิลปากรได้มอบให้กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์เป็นผู้ตรวจสอบประวัติศาสตร์เกี่ยวกับวีรกรรมของวีรชนค่ายบางระจัน และเรียบเรียงคำจารึก โดยขั้นแรก กำหนดทำแผ่นจารึกที่แท่นฐานอนุสาวรีย์ด้วยทองแดงขนาด 72x185 เซนติเมตร และจะหล่อแผ่นจารึกไปพร้อมกับการหล่อ รูปอนุสาวรีย์วีรชน

กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ได้เสนอร่างคำจารึกให้พิจารณา 4 แบบ ผู้ร่างคือ นางกุลทรัพย์ เกษแม่นกิจ ผู้อำนวยการกองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ และนางละม่อม โอชกะ หัวหน้าแผนกประวัติศาสตร์และจารีตประเพณี (12) ที่ประชุมคณะกรรมการฟื้นฟูบูรณะค่ายบางระจันได้พิจารณาร่างคำจารึกนี้รวม 2 ครั้ง ต่อมา ฯพณฯ ม.ล.ปิ่น มาลากุล ประธานคณะกรรมการฟื้นฟูบูรณะค่ายบางระจัน ได้แก้ไขร่างจารึกใหม่เป็นแบบที่ 5 ซึ่งคณะกรรมการฟื้นฟูบูรณะค่ายบางระจันได้ลงมติให้ใช้ร่างจารึกนั้นเมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2512

ร่างคำจารึกครั้งที่ 2

ต่อมาใน พ.ศ. 2514 กองหัตถศิลป กรมศิลปากร กำหนดจะจัดทำแผ่นจารึกด้วยหินอ่อนสีขาว ทั้งนี้โดยได้รับเงินค่าจัดทำจากจังหวัดสิงห์บุรี เป็นเงิน 11,000 บาท กรมศิลปากรจึงมอบให้กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ร่างคำจารึกใหม่ และขอให้ร่างคำจารึกติดผนังวิหาร พระอาจารย์ธรรมโชติด้วย จารึกที่กำหนดไว้นี้เป็นหินอ่อนสีขาว ขนาด 89x194 เซนติเมตร กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ได้เสนอร่างคำจารึก 3 แบบ นางกุลทรัพย์ เกษแม่นกิจ ผู้อำนวยการ กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ และนางสายไหม จบกลศึก หัวหน้างานประวัติศาสตร์ เป็นผู้เรียบเรียง ได้นำร่างคำจารึกเสนอที่ประชุมในวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2515 และนายดำเนิน รตานนท์ ผู้อำนวยการกองหัตถศิลปได้เสนอว่า ควรทำผังรูปวีรชนไว้ด้วย เพื่อประชาชนจะได้ทราบว่ารูปไหนคือใคร ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณอีก 5,000 บาท

 

ร่างคำจารึกครั้งที่ 3

ต่อมากองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ได้รับมอบให้แก้ไขคำจารึกเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการฟื้นฟูบูรณะค่ายบางระจันอีก 4 ครั้ง รวมเป็น 7 ครั้งด้วยกัน

ครั้งสุดท้าย นางกุลทรัพย์ เกษแม่นกิจ เป็นผู้เรียบเรียงเสนอ 2 แบบ คือ

1. คำจารึกอนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจัน 1 แบบ
2. คำจารึกวิหารพระอาจารย์ธรรมโชติ 1 แบบ

ที่ประชุมคณะกรรมการฟื้นฟูบูรณะค่ายบางระจันได้พิจารณาเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2518 ได้แก้ไขถ้อยคำเล็กน้อย และอนุมัติให้กองหัตถศิลปจัดทำคำจารึกนำไปติดตั้ง ณ อนุสาวรีย์ต่อไป

 

 

จารึกอนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจัน

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิด
ณ วันที่         เดือน            พุทธศักราช ๒๕๑๙

เมื่อเดือนสาม ปีระกา พุทธศักราช ๒๓๐๘
นายจันหนวดเขี้ยว นายโชติ นายดอก นายทองแก้ว
นายทองเหม็น นายทองแสงใหญ่ นายแท่น นายเมือง
พันเรือง ขุนสรรค์ และนายอิน
ได้เป็นหัวหน้ารวบรวมชาวบ้านตั้งค่ายต่อสู้พม่าที่บ้านบางระจัน
มีพระอาจารย์ธรรมโชติเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิทยาคมบำรุงขวัญ

ตั้งแต่เดือนสี่ ปีระกา พุทธศักราช ๒๓๐๘ จนถึงเดือนเจ็ด ปีจอ พุทธศักราช ๒๓๐๙
วีรชนค่ายบางระจันได้ต่อสู้พม่าด้วยความกล้าหาญและด้วยกำลังใจอันเด็ดเดี่ยว
ยอมสละแม้เลือดเนื้อและชีวิตเพื่อรักษาแผ่นดินไทย
รบชนะพม่าถึงเจ็ดครั้ง จนพม่าครั่นคร้ามฝีมือ

รัฐบาลและประชาชนชาวไทยจึงพร้อมใจกันสร้างอนุสาวรีย์นี้ขึ้น
เพื่อประกาศเกียรติคุณของวีรชนค่ายบางระจันให้ยั่งยืนชั่วกาลนาน.

 

คำจารึกวิหารพระอาจารย์ธรรมโชติ

พระอาจารย์ธรรมโชติ วัดเขานางบวช

ซึ่งมาอยู่ ณ วัดโพธิ์เก้าต้น

ได้ประสาทวิทยาคมบำรุงขวัญวีรชนค่ายบางระจันในการสู้รบกับพม่า
ระหว่างเดือนสาม ปีระกา พุทธศักราช ๒๓๐๘
ถึงวันจันทร์ เดือนแปด ปีจอ พุทธศักราช ๒๓๐๙
(13)

รัฐบาลและประชาชนชาวไทยพร้อมใจกันสร้างวิหารนี้ขึ้น
เพื่อประกาศเกียรติคุณและความรักชาติของท่าน

 

ตัดตอนจาก วีรชนค่ายบางระจัน คณะกรรมการฟื้นฟูบูรณะค่ายบางระจันจัดพิมพ์ เนื่องในงานเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี, โรงพิมพ์การศาสนา, กรุงเทพฯ, 2519.

 


(1) รณสิทธิพิชัย พ.อ.หลวง (เจือ กาญจนินทุ), "การสำรวจของโบราณในเมืองไทย" วารสารศิลปากร ปีที่ 5 เล่ม 2 สิงหาคม 2494 หน้า 55
กลับไปที่เดิม

(2) ภาพจิตรกรรมฝาผนังในวิหารวัดสุวรรณดารารามนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เขียนขึ้น ตอนบนเป็นภาพเทพชุมนุม ตอนล่างเป็นภาพเหตุการณ์สงครามในรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระยาอนุศาสตร์จิตรกรปฏิสังขรณ์ภาพในวิหารนี้ เมื่อพ.ศ. 2474
กลับไปที่เดิม

(3) มีเอกสารเกี่ยวกับการตัดไม้และสร้างค่ายหลายฉบับ
กลับไปที่เดิม

(4) มีภาพถ่ายค่ายที่ตั้งฐานทัพของจอมพล เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต) ณ เมืองงอย เป็นภาพถ่ายประกอบเรื่องการยกทัพไปปราบฮ่อ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2428 ภาพแสดงถึงลักษณะค่าย คู ระเนียด หอรบ ซึ่งตั้งอยู่เชิงเขา
กลับไปที่เดิม


(5) ภาพเหล่านี้วาดขึ้นในพ.ศ. 2430 มีจำนวน 92 ภาพ มีโคลงประกอบภาพ 376 บท พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้นำไปประดับพระเมรุท้องสนามหลวง ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพาหุรัตน์มณีมัย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าตรีเพ็ชรุตมธำรง เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ และพระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาคนารีรัตน์ ต่อมาโปรดเกล้าฯให้แบ่งภาพเหล่านี้ไปประดับพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยและพระที่นั่งวโรภาสพิมาน พระราชวังบางปะอิน
กลับไปที่เดิม

(6) กรมศิลปากรได้ออกแบบสร้างค่ายจำลอง ณ ที่นี้ ตามคำขอของผู้ว่าราชการจังหวัดเมื่อ พ.ศ. 2512
กลับไปที่เดิม

(7) ดำรงราชานุภาพ,สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา และนริศรานุวัดติวงศ์, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยา สาส์นสมเด็จ เล่ม 8 กรุงเทพฯ : องค์การค้าคุรุสภา ศึกษาภัณฑ์พาณิชย์ , 2504 หน้า 49-50
กลับไปที่เดิม

(8) ดูรายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะค่ายบางระจันจำลอง ในแผนผังค่ายบางระจัน
กลับไปที่เดิม

(9)ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร
กลับไปที่เดิม

(10) รายงานการประชุมคณะกรรมการฟื้นฟูบูรณะค่ายบางระจัน ครั้งที่ 2/2509 วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2509
กลับไปที่เดิม

(11) ในกรณีที่คณะกรรมการต้องการให้อนุสาวรีย์พระอาจารย์ธรรมโชติหันหน้าไปทางอนุสาวรีย์วีรชน แต่เจ้าอาวาสวัดโพธิ์เก้าต้นและราษฎรต้องการให้รูปอนุสาวรีย์พระอารารย์ธรรมโชติหันหน้าไปทางทิศตะวันออกตามวิหารเดิมนี้เอง เป็นเหตุให้นายประเวศ ลิมปรังษี ออกแบบวิหารเป็นทรงจตุรมุขซึ่งให้ผลตรงกับความต้องการของทั้งสองฝ่าย
กลับไปที่เดิม


(12) โอนไปเป็นอาจารย์คณะอักษรศาสตร์ วิทยาลัยทับแก้ว มหาวิทยาลัยศิลปากร
กลับไปที่เดิม


(13) เริ่มนับตั้งแต่ชาวไทยแถบเมืองวิเศษชัยชาญ เมืองสิงห์ และเมืองสรรค์ ซ่องสุมผู้คนลวงพม่ากองหนึ่งไปฆ่าแล้วอพยพหนีมาพึ่งพระอาจารย์ธรรมโชติ ณ วัดโพธิ์เก้าต้น บ้านบางระจัน จนกระทั่งค่ายใหญ่บางระจันถูกพม่าตีแตก รวมการรบทั้งหมด 8 ครั้ง
กลับไปที่เดิม