http://home.earthlink.net/~lkuper/arkitect/Kahn.html
Kahn
ได้รับการฝึกฝนในรูปแบบการศึกษาของ Beaux-Arts tradition ที่มหาวิทยาลัย
Pennsylvania สมัย Paul P. Cret เป็นผู้อำนวยการ เขาเริ่มทำงานที่สำนักงาน ที่
Cret's office ในช่วงปี 1929-30. ในปี 1930s ถึง 40s
เคยร่วมงานทางความคิดที่ท้าทายกับ Buckminster Fuller และ Frederick Kiesler.
ต่อมาได้พัฒนาความคิดของประวติศาสตร์สถาปัตยกรรมไปสู่การสร้างสรรค์ระเบียบที่ต่อเนื่อง
กันและกัน จากรูปแบบโครงสร้างที่บึกบึนเดิม เขากำหนดที่ว่าง ในความหมายของ
ความทึบที่เกิดจากกำแพงอิฐ ด้วยโครงสร้างที่โปร่งใส ดูเข้าใจง่าย
ในองค์ประกอบทางเรขาคณิต รูปแบบเป็นทางการ มีแกนปรากฏอย่างชัดเจน
เป็นลักษณะปรากฏที่สำคัญของ ที่ว่าง และภาพอาคาร ที่เกิดขึ้น ตามระเบียบวิธีการของ
ความเป็น Beaux-Arts tradition. Kahn's architecture เน้นคุณภาพทางอารมณ์
รื้อฟื้นความทรงจำในอดีต ของอาคารก่ออิฐโบราณ ที่ขาดหายไป
จุดต่างทางทฤษฎีของ
Kahn's คือ การกำหนดตรง ประโยชน์การใช้สอย แต่ขยายปรัชญาที่เป็นสาระการใช้สอยของอาคารมากขึ้น
"human institution" ที่อาคารต้องตอบสนองให้บังเกิดขึ้น "human
institutions" ก่อกำเนิดจากแรงบรรดาลใจของการมีชีวิตอยู่ที่ดี ในสามประการ
คือ แรงบรรดาลใจที่จะเรียนรู้ แรงบรรดาลใจที่จะพบกันและกัน
และแรงบรรดาลใจที่จะอยู่อย่างปกติสุข และสิ่งเหล่านี้ เขาก็พยายามสะท้อน
ความคิดในการศึกษาด้วย
"I think of school as an
environment of spaces where is good to learn. Schools began with a man under a
tree, who did not know he was a teacher, discussing his realization with a few
who did not know they were students . . . the existence-will of school was there
even before the circumstances of a man under a tree. That is why is good for
the mind to go back to the beginning, because the beginning of any established
activity is its most wonderful moment."
ปรัชญาข้างต้นนี้
สะท้อนเป็นคำตอบในงานสร้างสรรค์ของเขาในทางรูปทรงสถาปัตยกรรม
อาคารไม่ใช่การก่อเกิดของการจัดที่ว่าง และรูปทรง อย่างเฉื่อยชา
แต่ควรก่อให้เกิดความมีชีวิตชีวา สร้างสรรค์โดยสถาปนิก เพื่อประโยชน์ของมนุษย์
บ่อยครั้งที่เขามักตั้งคำถาม "What does the building want to be?"
นี่เป็นการตอบสนองการสร้างระเบียบที่กว้างขวางไร้ขอบเขตจำกัด
เขาทำให้ปรากฏในงานออกแบบระยะหลัง ด้วยการแสดงออก ของขบวนการก่อสร้าง
ที่ปรากฏได้ชัดเจนทางรูปทรงสถาปัตยกรรม
ประโยชน์ใช้สอยต้องรวมอยู่ในรูปทรงทางสถาปัตยกรรม แต่ต้องค้นพบ
ได้จากขบวนการออกแบบทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้น ความงาม ไม่ใช่สิ่งที่เขาให้ความสนใจในทันที
แต่เป็นความจริงที่แสดงออกมา และเหมาะสม กับประโยชน์ที่มุ่งหมาย ตามความคิดเขา
เป็นส่วนเกี่ยวข้องกับความประสงค์ ที่เรียกร้องให้ปรากฏขึ้น เขาสรุปไว้ว่า
ลักษณะพื้นฐาน และคุณสมบัติของอาคารต้องการ การค้นหาให้ปรากฏ ต้องใส่ใจ
ต้องสรุปรวมไว้ ให้เกิดขึ้นให้ได้ในรูปทรง ของสถาปัตยกรรม และแล้ว
ความงามของสถาปัตยกรรมนั้น ก็จะบังเกิดขึ้นในที่สุด
Kahn
ให้ความสำคัญกับ แสงธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งทำให้สถาปัตยกรรมมีชีวิตได้
ไม่เหมือนแสงประดิษฐ์ ซึ่งคงที่ไม่มีความเปลี่ยนแปลง จึงเป็น ความตาย. Light
ในความคิดเขา ไม่เพียงทำให้มนุษย์มองเห็นสิ่งต่างๆได้เท่านั้น
แต่เป็นสาระในตัวมันเอง มันเป็นตัวแทน ของธรรมชาติ ซึ่งกฏเกณท์ และสาระต่างๆ
ถูกรวมเข้าไว้ด้วยกัน เขาพิศวง ธรรมชาติของแสงที่เป็นเส้นโค้ง
คุณสมบัติที่ให้ผลทางจิตวิทยา และความจริงทาง วิทยาศาสตร์ที่มหัศจรรย์ ในความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
ของวัน เวลาและฤดูกาล Kahn มองเห็นองค์ประกอบของสถาปัตยกรรม ในรูปของ
column, arch, dome, and vault,ในความสามารถที่กำหนด แสง และ เงา
ให้ปรากฏขึ้นในงานสถาปัตยกรรม ในปี 1939, Kahn ปฏิเสธความคิดง่ายๆ
ที่ยึดถือในสังคม เช่น ประโยชน์ใช้สอยนิยม
จะต้องสามารถสะท้อนคุณประโยชน์ให้เด่นชัด ในโครงการศึกษา Rational City (1939-48)
เขามองเห็น ความต้องการ ที่ทำให้เกิดความแตกต่างชัดเจน ระหว่าง สถาปัตยกรรม
"viaduct" ท่อลำเลียงน้ำ(Le Corbusier's "Ville Radieuse")
และอาคาร ในลักษณะของ ความเป็นมนุษย์ การจัดวางแผนผังส่วนกลางของเมือง
Philadelphia เขาพยายามนำรูปแบบเก่า ของ Piranesi's Rome ในยุคปี 1762 มาประยุกต์
ใช้กับเมืองในสมัยใหม่ การเปรียบเทียบ ถนนทางด่วน เหมือน แม่น้ำ ถนนที่มีสัญญานไฟจราจร
เหมือน ลำคลอง เขาระมัดระวัง ต่อความขัดแย้ง ของรถยนต์และเมือง และการเชื่อมต่อที่ล้มเหลว
ระหว่าง ผู้บริโภค กับ ศูนย์การค้าในชนบท และความเสื่อมโทรม
ของศูนย์กลางชุมชนหลักๆ ในเมือง เขาเสนอคำตอบในความคิดของ "dock"
ท่าจอดเรือ (1956) ประกอบเป็นอาคารปล่องกลมสูง ๖ ชั้น สำหรับที่จอดรถ จุได้ 1,500
คัน ล้อมรอบด้วย กลุ่มอาคารทั่วไปสูง ๑๘ ชั้น
ในลักษณะคำนึงถึงขนาดใกล้เคียงสัดส่วนของมนุษย์
Kahn
ออกแบบโครงการสำหรับ Philadelphia City Hall (1952-7) มี Ann Tyng
เป็นผู้ร่วมงาน.โครงการนี้ได้รับอิทธพลความคิด จากผู้ที่เคย
สนใจเรื่องเดียวกันมาก่อน คือ Buckminster Fuller จากความคิดพื้นฐานของ geodesic
skyscraper ซึ่งประกอบด้วย พื้น เป็นหน่วยๆ รูปปิระมิด สามเหลี่ยม
เป็นโครงสร้างสูง ที่สามารถตอบสนอง การต้านแรงลมโดยตรง,
ในปี
1954, ผลงานออกแบบ Yale Art Gallery เน้นสาระสำคัญของ กำแพง พื้น และ เพดาน
อย่างเด่นชัด ประกอบ เป็นปริมาตรที่ว่างสำคัญ รูปหกเหลี่ยม กำเนิดจาก รูปโค้งกลม
เป็นที่ตั้งของบันได กล่องโค้งกลมนี้ เป็นส่วนของ "servant" และพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมอื่น
เป็น "served" สถาปัตยกรรมที่ไม่สมดุลป์นี้ ไม่ขึ้นอยู่กับหลักการใด
ของการประกอบเป็นโครงสร้างโดยทั่วๆไป แต่เป็นการจัดแจง พื้นแผ่นผืน ที่ไร้ข้อจำกัด
ในการสนอง การรับแสงธรรมชาติ การจัดที่ว่าง และเสารองรับ ภายในอาคาร
|
|
|
|
ในปี
1957, Louis Kahn มีชื่อเสียงในการออกแบบอาคาร Richards Medical Research
(1957-61) ให้กับ the University of Pennsylvania ในเมือง Philadelphia.
กล่องกำแพงอิฐที่เป็นช่องท่อต่างๆ แสดงออกเหมือนปล่องระบายควันไฟจากเตาผิงในบ้าน
ห้องปฏิบัติการผนัง กระจก สะท้อน ภาพหอคอยป้องกันภัย ของสถาปัตยกรรมในยุคกลาง
หรือเมืองตามภูเขาใน อิตาลี่ หลักการสำคัญในการออกแบบ Richards Laboratories
คือการกำหนดความแตกต่างอย่างชัดเจน ระหว่าง ที่ว่างของ "served" และ
"servant" ห้องปฏิบัติการผนังกระจกเป็น "served spaces"
แยกจากปล่องอิฐสูงที่ทำหน้าที่เป็น "servant spaces" แต่ละอัน
ต่างมีโครงสร้าง เป็นอิสระจากกัน ความคิดที่ซับซ้อนในการออกแบบ เป็นวิธีการ ของเขา
ที่กำหนดเป็นการรวมตัวของหน่วยหลัก ที่ต่อเนื่องกันเป็นแนว
ยอมรับการขยายตัวของชุมชน ที่เน้นเป็นปัญหาสำคัญในสมัยนั้น
ในปี
1959, เขาออกแบบ First Unitarian Church ที่ Rochester New York (1959-63).
แนวคิดหลักของโบสถ์ คือ ที่ประกอบพิธีตรงกลาง ทางเดิน และ โรงเรียน
ถูกจัดล้อมรอบตามที่นิยมกัน งานออกแบบขั้นสุดท้าย ประกอบด้วย กล่องจตุรัสสองกล่อง
รวมกันอยู่ตรงกลาง มีปล่องสูง ๔ ปล่องแยกกันอยู่ตรง ๔ มุม ซึ่งเป็นที่รับ
และกระจายแสงธรรมชาติ ไปทั่วบริเวณภายในห้องประกอบพิธีของโบสถ์
ในปี1962,
เขาออกแบบอาคาร National Assembly ในเมือง Dacca ประเทศ Bangladesh (1962-74)
เป็นวางการซ้อนกันของ กำแพงอิฐหลายส่วน (layers) โดยรอบ ก่อนถึงที่ว่างชั้นในสุด
ที่เป็นห้องประชุมใหญ่ ห้องเสนอแถลงข่าว ห้องประชุมย่อย และห้องสวดมนต์
ซึ่งวางแนวตรงไปที่ นครเมกกะ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ให้ลักษณะเด่นชัด
เช่นเดียวกับ ป้อมปราการในอดีต แนวคิดเรื่อง การวางแนวซ้อนหลายชั้นนี้
เพื่อผลการกรอง รับแสง ธรรมชาติ และผ่านตรงส่วนตัดเฉือนของกล่อง
ที่ประกอบด้วยกำแพงก่อโชว์แนว เสริมบางส่วน ด้วยโครงคอนกรีตตรงช่องเปิด คุณสมบัติ
ที่เกิดขึ้นนี้ อ้างว่าเขาได้รับแรงบรรดาลใจ จากความคิด "brise-soleil"
ของ Le Corbusier โดยสรุปความคิด เขาบันทึกไว้ดังนี้
"I thought of the beauty of ruins . . . of things which nothing lives
behind . . . and so I thought of wrapping ruins around buildings."
ในปี
1966-ผลงานออกแบบ Kimbell Art Museum ในเมือง Fort Worth, Texas (1966-72),
ใช้แนวคิดของหน่วยซ้ำของโครงสร้าง ผิวเปลือก โค้งทางเดียว แต่ละหน่วย
(barrel-vaulted bay) มีขนาด 20 ฟุต x100 ฟุต วางต่อเนื่องเป็น ๖ แถวขนานกัน
แต่ละโค้งเป็นแนวยาว ทำหน้าที่เป็นเหมือนคานยาว ความกว้างโค้ง ๒.๕ ฟุต
ลึกถึงฐานตรงคานขอบ ๑๐ ฟุต ส่วนบนสุดของโค้ง เจาะช่องแสงยาว ติดแผงโลหะ
"natural lighting fixture" ผิวมันโค้ง เพื่อกระจายแสง
"silver light" แล้วรวมตัว กับบริเวณสวนปฏิมากรรม เป็น "green light"
ลงด้านล่างภายในอาคาร
เรียบเรียงจากบางส่วน หรือทั้งหมดจากเอกสารต้นฉบับที่ผลืตโดย |
|||
|
|
Bret Thompson |
|
|
|
Paul Holje |
|
|
|
Jack Potamianos |
|
|
|
|
Louis I Kahn is considered to be one of the great master builders of our time. This
is an educational compilation of his work and history. You may use the
navagation bar at the top to explore other parts of this profile.
"You can never learn anything that is not a part of yourself."
B a c k g r o u n d T i m e l i
n e
F
a m o u s S t r u c t u r es
__________________________________________________
Continue on to: ESSAYS |